สำหรับคาริม เบนเซม่า กองหน้าตัวเก่งของเรอัล มาดริด ที่โชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยม และยิงประตูอย่างต่อเนื่อง จนพาทัพ “ราชันชุดขาว” ยืนระยะ และเก็บเกี่ยวความสำเร็จได้ แน่นอนว่า เขาในวัย 35 ปี ได้กลายมาเป็นยอดดาวยิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์
ช่วงนี้ เราลองไปเจาะลึกแนวทางการเล่นฟุตบอลของกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส รายนี้กันหน่อย ลองไปดูเบื้องหลังว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในโลกลูกหนัง พร้อมกับเป็นคนที่ถูกแฟนบอลหลายคนยกย่องว่า เป็นหนึ่งในกองหน้าที่เก่งสุดในโลก
“สิ่งแรกที่ต้องทำงานคือสมอง”
เบนเซม่า ออกมากล่าวถึงแนวทางการเล่นฟุตบอลของตัวเอง โดยบอกว่า เขามีความจำเป็นต้องคิดให้เร็วที่สุด อย่างน้อย เขาต้องไวกว่าคู่แข่งเสมอ อย่างไรก็ตาม เขาพยายามรักษาสไตล์ของตัวเองเอาไว้ แม้โลกลูกหนังจะหมุนไปอย่างรวดเร็วก็ตาม
“นอกเหนือจากสถิติแล้ว แนวทางการเล่นฟุตบอลของผมไม่เปลี่ยนแปลงไป ผมยังคงวิ่ง, ถอยลงต่ำ และแอสซิสต์ นั่นคือสิ่งที่ผมทำอยู่เสมอ ผมยังเป็นคนเดิม” เบนเซม่า กล่าวต่อไป
“แฟนบอลไม่ได้ดูฟุตบอลเหมือนเคย คนจำนวนมากไม่ดูฟุตบอลทั้งเกม อาจเป็นเพราะโซเชี่ยล มีเดีย คุณสามารถดูไฮไลท์การยิงประตู ผ่านทางโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พวกเขาแค่ต้องการเห็นการยิงประตูเท่านั้น”
“วันรุ่งขึ้น พวกเขาเห็นคนทำสกอร์เป็นนักเตะที่ดีที่สุด บางเกม ผมอาจยิงประตูไม่ได้ แต่ผมอาจทำผลงานโดยรวมได้ดีก็ได้ ซึ่งผมยอมรับว่า ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย อนาคตมันจะกลายเป็นกระแส ฟุตบอลกลายเป็นกีฬาที่ต้องมาวัดกันที่เรื่องสถิติ เราต้องปรับตัว ผมก็น้อมรับมันได้”
กองหน้าเรอัล มาดริด กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเค้นศักยภาพของตัวเองออกมา สิ่งหนึ่งที่เขาเลือกทำเสมอ นั่นคือการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้น งัดฟอร์มการเล่นที่ดีออกมาเช่นเดียวกัน
“ผมเคารพฟุตบอลเสมอ เพราะผมรักมัน เมื่อเพื่อนร่วมทีมของผมสลัดออกจากแนวรับ ผมจะไม่ฝืนยิงมุมแคบด้วยตัวเอง ผมจะผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทันที ทุกคนย่อมมีแนวทางการเล่นเป็นของตัวเอง ดังนั้น ผมจึงคิดว่าวิธีของตัวเองถูกต้องแล้ว”
“ผมพยายามช่วยเพื่อนร่วมทีมคนอื่นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ และเป็นการเคารพฟุตบอลด้วย การเคลื่อนที่ และการจ่ายบอลที่ดี ถือว่ามีความสำคัญมาก เมื่อเพื่อนร่วมทีมครองบอล คุณอย่าไปยึดติดกับพื้นที่ของเขา คุณต้องพยายามล่อแนวรับฝ่ายตรงข้ามออกไปให้ได้ เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่อิสระให้กับเขา”
ความจริงจัง และมุ่งมั่นในบ้างครั้ง อาจจะถูกตีความในแง่มุมที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง การอยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม อาจถูกสื่อสารออกไปไม่แน่ชัดไป แต่ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปด้วยดี สุดท้าย เพื่อนร่วมทีมก็จะรับรู้ถึงความหวังดีของเขา เช่นเรื่องราวที่เขาตกเป็นข่าวใหญ่ว่า ไปพูดกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นว่า อย่าส่งบอลให้กับวินิซิอุส จูเนียร์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงปี 2020
เบนเซม่า ย้อนความทรงจำว่า “ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสนามแข่งขัน ผมยกตัวอย่างเช่นวินิซิอุส จูเนียร์ ผู้คนมักจำในสิ่งที่ผมพูดออกไปในหนนั้น ผมรู้ว่าผมสามารถมอบอะไรให้กับเขาได้ ฤดูกาลนี้ เขาพัฒนาขึ้นไปมาก และไม่ใช่นักเตะที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป”
“วินิซิอุส ถือเป็นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยม ดังนั้น ผมต้องการแสดงให้เขาเห็นว่า เขาต้องทำอะไรบ้างในสนามแข่งขัน ด้วยการใช้คำพูดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบอกจังหวะการวิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญ รวมถึงแง่มุมต่างๆ เช่นลูกเปิดสำหรับแอสซิสต์ และลูกยิงสำหรับจบสกอร์ เขาจะได้เรียนรู้ที่จะมองไปข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นวินิซิอุส จูเนียร์ คนปัจจุบัน”
“ย้อนกลับไปตอนที่ผมเป็นเด็ก ไม่เคยมีใครให้คำแนะนำแบบนี้กับผม ผมเล่นฟุตบอลกับเด็กที่โตกว่าเสมอ ไม่มีเวลาคิด ทุกอย่างต้องสังเกต และรวบรวมข้อมูลให้เร็วที่สุด ผมเรียนรู้ผ่านสมองของตัวเอง และวิเคราะห์สไตล์การเล่นของเพื่อนร่วมทีม ผมต้องรู้ และคาดการณ์ว่า พวกเขาจะทำอะไรในจังหวะต่อไป”
เบนเซม่า กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า โลกของฟุตบอลปัจจุบัน เต็มไปด้วยการเล่นที่รวดเร็ว การไม่คิดล่วงหน้า อาจทำให้พบกับปัญหาได้ โดยเฉพาะการเล่นฟุตบอลในเวทีระดับสูง ที่มีคู่แข่งที่เก่งกาจ และมากประสบการณ์เต็มไปหมด
“สำหรับเกมฟุตบอลทุกวันนี้ คุณจะไม่มีเวลามาคิดหรอก ฟุตบอลเร็วกว่าสมัยก่อนมาก มีการเผชิญหน้าทางกายภาพมากขึ้น หากคุณเริ่มคิดหลังจากได้ครองบอลแล้ว เพียงแค่ 1-2 วินาที คู่แข่งจะมาถึงตัวคุณทันที”
“ดังนั้น ก่อนที่ผมจะได้บอล ผมต้องคิดในหัวแล้วว่า ผมจะทำอะไรในจังหวะต่อไป เช่นว่า -นักเตะคนนี้มีการวิ่งแบบนี้ ผมจะต้องจ่ายบอลรูปแบบนั้น- ผมคิดไวกว่าคู่แข่งเล็กน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำงานคือสมอง เมื่อผมได้ครองบอล ผมไม่ชอบให้เพื่อนร่วมทีมเรียกบอลจากผม ใครที่เล่นกับผมรู้เรื่องนั้นดี ไม่ต้องตะโกนเรียกชื่อผมในการขอบอลหรอก ผมจะหาหนทางที่ดีที่สุด เพื่อส่งบอลให้คุณเอง”
