:::     :::

หมดลุ้น 1 เพื่อมีลุ้นมากขึ้นอีก 2

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล จบเส้นทางในเอฟเอ คัพ ปีนี้เอาไว้เพียงรอบสี่หลังพ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 ในการเจอกันนัดแรกของสองทีมที่ดีสุดในอังกฤษเวลานี้

ทั้งสองทีมยังไม่เจอกันในลีกเพราะโปรแกรมนัดแรกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วถูกเลื่อนเพื่อเปิดทางให้ "ปืนใหญ่" ลงเล่นนัดตกค้างกับ พีเอสวี ในถ้วยยูโรปา ลีก 

นัดแรกจึงเป็นเอฟเอ คัพ รอบสี่ ที่จับสลากเจอกันเป็นคู่บิ๊กแมตช์และถูกกำหนดให้ลงสนามคู่แรกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

เทียบจากเกมลีกล่าสุด อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ปรับถึง 6 ตำแหน่งจากนัดล่าสุดที่เปิดรังเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 แม็ตต์ เทอร์เนอร์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ, ร็อบ โฮลดิ้ง, คีแรน เทียร์นีย์, ฟาบิโอ วิเอร่า และตัวใหม่ เลอันโทร ทรอสซาร์ ได้สลับลงตัวจริง 

ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนทีมน้อยกว่าเพียง 2 ตำแหน่งจากนัดชนะ วูล์ฟส์ 3-0 คือให้ สเตฟาน ออร์เตก้า เฝ้าเสาแทน เอแดร์ซอน และ นาธาน อาเก้ เสียบแทน อายเมริค ลาปอร์กต์ ในเกมรับ 

การปรับทีมเยอะของ อาร์เตต้า เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงมากโดยเฉพาะเมื่อต้องมาเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ก็เป็นสิ่งควรทำเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวหลักบางรายได้พัก และคนที่ได้โอกาสก็ถือว่าคู่ควร

ไลน์อัพตัวจริงที่ออกมาไม่ได้ขี้เหร่ ถือว่าโอเคระดับหนึ่ง แต่ละตำแหน่งยังมีแกนหลักประคองเพื่อน และด้วยมาตรฐานการเล่นที่ยกระดับขึ้นในฤดูกาลนี้ก็ทำให้สู้กับเจ้าถิ่นได้ไม่เป็นรอง 

อาร์เซน่อล ทำได้ดีในครึ่งแรก การไล่เพรสซิ่งสูงตั้งแต่ต้นเกมทำให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่สามารมขึงเกมรุกเหมือนที่เคยทำได้ตลอดไม่ว่าเจอกับใครในบ้านตัวเอง 

ปืนใหญ่ขึ้นเกมฝั่งซ้ายเป็นหลัก เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงตัวจริงครั้งแรกหลังย้ายมาจาก ไบรท์ตัน และประเดิมสนามไปแล้วในฐานะสำรองเกมลีกกับปีศาจแดง


ทรอสซาร์ ป่วนเกมรับเรือใบได้ดีในครึ่งแรก

ส่วนฝั่งขวาที่เคยเป็นจุดเด่นอย่าง บูคาโย่ ซาก้า เจองานหนักต้องดวลกับ นาธาน อาเก้ หนึ่งในกองหลังที่ทำผลงานดีมากในฤดูกาลนี้

ทรอสซาร์ จึงเป็นคนที่ทำได้ดีสุดในแนวรุกปืนใหญ่ ความคล่องแคล่ว เอาตัวรอดเก่ง ทำให้เกมฝั่งซ้ายได้ลุ้นตลอด เพียงแต่เพื่อนร่วมทีมยังไม่สามารถจบสกอร์ในเขตโทษได้ 

แมนฯ ซิตี้ ใช้การวางยาวบ่อยครั้งให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เพราะเจาะตรงกลางไม่ง่ายจากการที่ โธมัส ปาร์เตย์ กับ กรานิต ชาคา ช่วยกันปิดเกมรุกได้ดี

เป๊ป เองก็น่าจะมองเห็นว่าควรโจมตีด้วยบอลยาวไปถึง ฮาลันด์ฮาลันด์ เพราะตัวประกบคือ ร็อบ โฮลดิ้ง ที่ปกติเป็นแค่สำรอง

โฮลดิ้ง เอาตัวรอดได้ดีในช่วงแรก แต่จากนั้นเริ่มออกอาการจนกระทั่งทำฟาวล์ ฮาแลนด์ เสียใบเหลืองในท้ายครึ่งแรก ก่อนนั้นมีจังหวะเล่นลูกกลางอากาศแล้วศอกเข้าหน้าหัวหอกเรือใบแบบที่เกือบเป็นเหลืองเช่นกัน

อาร์เตต้า เห็นท่าไม่ดีจึงเปลี่ยนตัวออกเลยในช่วงพักครึ่ง วิลเลี่ยม ซาลีบา จึงได้ลงมาจับคู่กับ กาเบรียล มากัลเญซ ส่วนอีกตำแหน่งที่ถอดออกคือ โธมัส ปาร์เตย์ 

มีการเปิดเผยหลังเกมว่า ปาร์เตย์ เจ็บซี่โครง อาร์เตต้า จึงไม่ต้องการเสี่ยงและเลือกส่ง แซมบี้ โลคองก้า ลงสนาม

เกมของ อาร์เซน่อล ในครึ่งหลังดร็อปลงไปพอสมควรเมื่อเปลี่ยนจาก ปาร์เตย์ เป็น โลคองก้า จังหวะออกบอลจากแดนกลางไม่ไหลลื่น

โลคองก้า ก็ยังมีปัญหาเดิมๆ ไม่สามารถอ่านเกมเพื่อชิงตัดบอลหรือชะลอเกมรุกคู่แข่งแบบที่ ปาร์เตย์ ทำได้


นาธาน อาเก้ ยิงประตูตัดสินเกม

มีจังหวะช่วงท้ายเกมที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ซึ่งลงมาแทน ซาก้า โวยกองกลางดาวรุ่งเบลเยียมแบบชัดเจนหลังวิ่งเหยาะแหยะไม่เข้าประกบผู้เล่นซิตี้จนทำให้ต่อบอลกันง่ายๆ หลายครั้ง 

ก่อนเกมนี้ไม่กี่วัน โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ เพิ่งบาดเจ็บไปอีกรอบและส่อแววพักยาว อาร์เตต้า เลยจำเป็นต้องใช้ โลคองก้า ลงแทนหลัง ปาร์เตย์ เดี้ยงไปอีกคน 

เห็นชัดว่า โลคองก้า ไม่สามารถทดแทน ปาร์เตย์ ได้เลย และเป็นเหตุผลว่าทำไม่ อาร์เตต้า ถึงอยากได้กองกลางเพิ่มอีกรายในตลาดหน้าหนาวที่ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ปิดตลาดแล้ว 

ข่าวใหญ่ก่อนเกม อาร์เซน่อล ยื่นข้อเสนอขอซื้อ มอยเซส ไกเซโด้ กองกลางเนื้อหอมของ ไบรท์ตัน ในราคา 60 ล้านปอนด์ ทว่าถูกปฏิเสธทันควัน

หากผลการสแกนอาการบาดเจ็บของ ปาร์เตย์ ออกมาเลวร้าย อาร์เซน่อล คงต้องทุ่มมากขึ้นในดีลนี้ โดยที่ ไกเซโด้ เองก็พร้อมย้ายด้วยหลังแถลงผ่านโซเชียลอ้อนวอนขอให้ ไบรท์ตัน ปล่อยตัว 

ประตูเดียวชี้ขาดชัยชนะมาจากการยิงของ นาธาน อาเก้ ที่เหมือนตั้งใจเปิดยัดไปหน้าประตูซึ่งมี ฮาแลนด์ รอเช็กบิล แต่กลายเป็นบอลหนีมือ เทอร์เนอร์ เข้าเสาไกลดื้อๆ 

อาร์เตต้า ค่อนข้างผิดหวังกับประตูที่เสียเพราะมองว่าลูกทีมว่าควรป้องกันได้ดีกว่านี้ มันเป็นจังหวะเดียวที่พลาดและตัดสินเกมไปเลยในมุมของกุนซือปืนโต

อาร์เตต้า เสียดายโอกาสในเกมรุกที่มีแต่จบไม่ได้ แต่ในภาพรวมก็พอใจกับผลงานลูกทีมที่สู้เจ้าถิ่นได้ดีทั้งที่เปลี่ยนทีมหลายตำแหน่ง แถมยังเสีย ปาร์เตย์ ที่เดี้ยงอีก

เทียบกับในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซน่อล ทำได้ดีมากๆ กับการมาเยือนเอติฮัดในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ในสภาพหลังพิงฝาเอาแต่ยืนรับหมัดฝ่ายเดียวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง


อาร์เตต้า รอแก้มือเจ้านายเก่า เป๊ป ในเกมลีกสองนัด

ย้อนไปในฤดูกาลก่อนตอนมาเยือนเมืองแมนฯ ช่วงต้นฤดูกาล อาร์เซน่อล สู้ไม่ได้เลยโดนยิง 2-0 ตั้งแต่ต้นเกม จากนั้น กรานิต ชาคา โดนไล่ออกในนาที 23 ก็แทบไม่ต้องลุ้นอะไรอีกแล้วในช่วงเวลาที่เหลือเพราะเกมจบโดยปริยาย

แมนฯ ซิตี้ ชนะไป 5-0 พร้อมกับตัวเลขการครองบอล 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโอกาสลุ้นยิงต่างกันราวฟ้ากับเหว 25 ครั้งต่อ 1 ครั้ง 

อาร์เซน่อล ทำได้ดีแล้วในนัดล่าสุด มีแง่บวกหลายอย่างให้เก็บเกี่ยวไปต่อยอด เช่นผลงานของ ทรอสซาร์ ที่แม้เป็นช่วงเริ่มต้นแต่ก็แสดงให้เห็นว่าพอจะช่วยทีมได้ สามารถเป็นอะไหล่ชั้นดีเพื่อสลับสับเปลี่ยนกับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่

การตกรอบไม่ใช่เรื่องน่ายินดีโดยเฉพาะในเอฟเอ คัพ ที่ อาร์เซน่อล คือทีมที่ประสบความสำเร็จได้แชมป์มากสุด 14 สมัย และเป็นรายการที่แฟนๆ ภาคภูมิใจเสมอเหมือนเช่นนัดนี้ที่แห่ตามไปเชียร์กันล้นหลามพร้อมส่งเสียงข่มเจ้าถิ่นชัดเจน

แต่อย่างน้อย มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมก็จะได้โฟกัสกับเป้าหมายหลักในลีกได้เต็มที่มากขึ้น และยังเหลือลุ้นอีกรายคือ ยูโรปา ลีก ที่เป็นหนึ่งในทีมเต็งลุ้นแชมป์เช่นกัน

ทีมยังอยู่ในเส้นทางที่ดีกับสองรายการหลักที่เป็นสองภารกิจสำคัญตั้งแต่แรก และด้วยขนาดทีมในปัจจุบันถือกำลังพอดี และยิ่งจะสมบูรณ์พร้อมมากขึ้นหากได้กองกลางอีกสักรายจริงๆ 

ส่วน แมนฯ ซิตี้ คู่ควรกับการเข้ารอบต่อไป แม้ไม่ใช่ฤดูกาลที่ท็อปฟอร์มและมีความผิดพลาดให้เห็นเรื่อยๆ แต่คุณภาพยังมี หลายคนที่ได้โอกาสมากขึ้นในฤดูกาลนี้ก็ตอบแทนความไว้วางใจได้ทั้ง นาธาน อาเก้ และเจ้าหนู ริโก้ ลูอิส 

เป็ป เต็มที่แน่นอนกับเอฟเอ คัพ เพราะเป็นรายการที่เขาประสบความสำเร็จน้อยสุดได้แชมป์แค่ครั้งเดียวนับตั้งแต่มาคุมทีมในอังกฤษ ต่างจากพรีเมียร์ลีกกับลีก คัพ ที่ฟาดไปอย่างละ 4 สมัย

ปีนี้ตกรอบลีก คัพ ไปแล้ว ส่วนในลีกเจอความท้าทายครั้งใหญ่จากลูกน้องเก่า อาร์เตต้า ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ยังเป็นสิ่งที่ยากเสมอ ในหลายฤดูกาลที่พยายามสุดแรง แต่ก็ยังไม่เคยไปถึงฝั่งฝัน

กับการดวล อาร์เซน่อล ในยกแรกของฤดูกาล แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายชนะ 

แต่แน่นอนว่าอีกสองนัดถัดไปที่ต้องเจอกันเกมลีกในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ และวันพุธที่ 26 เมษายน จะเป็นสองนัดที่ทั้งสองทีมเอาจริงเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก

เพราะอาจเป็นสองนัดที่ชี้ขาดตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ได้เลย 

 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด