:::     :::

จากวันที่ต้องลาถึงวันนี้

วันจันทร์ที่ 06 มีนาคม 2566 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
812
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุค 90' คงไม่มีใครไม่รู้จัก นิคกี้ บัตต์ หนึ่งในกองกลางพันธุ์ดุของทีมในช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด

แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็มองว่า บัตต์ เป็นเพียงมิดฟิลด์ตัวสำรองของ รอย คีน กับ พอล สโคลส์ เท่านั้น กระทั่งสุดท้ายต้องอำลาทีมไปในปี 2004 หลังจากที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่เป็นเยาวชน โดยไปเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล ก่อนไปปิดฉากอาชีพกับ เซาธ์ ไชน่า ในปี 2011

ยังมีช่วงเวลาสั้นๆในการทำงานกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดยู-23 ในปี 2016 แต่ก่อนหน้าหน้าร่วมมือกับเพื่อนเก่าที่ "ปีศาจแดง" ซื้อสโมสร ซัลฟอร์ด และปัจจุบันเจ้าตัวคือซีอีโอของทีม มาวันนี้กับการเปิดใจถึงเส้นทางอาชีพกับ แมนฯ ยูไนเต็ด จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

"ผมรู้ตัวเองเสมอว่าไม่ดีพอเท่ากับ สโคลซี่ และ กิ๊กซี่ และ เบ็คส์ แต่ผมรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถวิ่งเร็วกว่าผมได้ ผมใช้สิ่งนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนตัวเอง"


เกือบ 300 เกมในเสื้อยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ว่าความสัมพันธ์กับสโมสรเก่าเริ่มซับซ้อน หลังกว่า 10 ปีกับสโมสรสุดท้ายก็ถึงเวลาแยกทางกัน

"วิสัยทัศน์และปรัชญาของผม และสิ่งที่ผมเติบโตมาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นไม่เข้ากับคนในสโมสร ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่ต้องไป ผมไม่ได้บอกว่าผมถูกเสมอแต่ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ไปผมคงแย่ และมันคงไม่ดีแน่"

แน่นอนว่าหลังเวลาผ่านไปกในการร่วมมือ แกรี่ และ ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์ และ เดวิด เบ็คแฮม อดีตเพื่อนร่วมทีมยูไนเต็ดตั้งแต่ปี 2014 การเป็นซีอีโอของสโมสรสร้างความประหลาดใจให้หลายคน แม้แต่ตัวของ บัตต์ เองก็เช่นกัน

"คุณไม่ต้องผ่านการเรียนงานโค้ช 7 ปีหรืออะไร เมื่อถึงทางแยกผมก็ไปอีกทางหนึ่ง ผมไม่ได้มีความสุขที่แยกทางกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ผมไม่มีความสุขดังนั้นผมจึงย้ายออกไป"


"ผมเบื่อกับพวกชนชั้นผู้นำที่มาพูดกับผมเกี่ยวกับฟุตบอล ถ้าพวกเขาบอกคนในห้องประชุมถึงการบริหารสโมสรฟุตบอล พวกเขาก็จะมองมาที่ผม แต่พวกเขามีสิทธ์พูดถึงการพัฒนาผู้เล่น? ผมรำคาญกับสิ่งนั้นและในที่สุดผมก็จากมา แต่ก่อนหน้านี้ผมไปเรียนหลักสูตรการเป็นซีอีโอ ผมไม่เคยต้องการมัมน ผมแค่ต้องการปรับตัวให้เข้ากับหัวหน้าฝ่ายบริหารมากขึ้นเพื่อความเห็นอกเห็นใจที่มากขึ้น"

"แต่แล้วโลกก็หมุนไปแล้วทันใดนั้นเมื่อปีที่แล้วก็มีงานยี้เข้ามาและผมก็มาอยู่ตรงนั้น ผมสนุกกับมันจริงๆ"

ปัจจุบันสถานการณ์ของ ซัลฟอร์ด รั้งอันดับ 6 ของตาราง อยู่ในพื้นที่เพลย์ออฟกับการเลื่อนชั้นสู่ลีก วัน ในขณะที่เรื่องนอกสนามนั้นพวกเขากำลังมองหาการซื้อสนามใหม่ที่ใหญ่ขึ้นแต่ได้มารู้ว่าทางสภาเมืองจะต้องเป็นผู้ซื้อ

"ผมค้นพบว่ามันไร้สาระที่สภาจะสามารถซื้อสนามราคา 16 ล้านปอนด์ได้ ในขณะที่ 42 เปอร์เซ็นต์ของคนใน ซัลฟอร์ด ยากจน แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ"


ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่อยู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเจ้าตัวอยู่กับสโมสรสองช่วง ช่วงแรกคือสมัยเป็นนักเตะ และอีกครั้งคือในปี 2021 ที่อยู่ในทีมงานของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

"สโคลส์ และ คีน เหนือกว่าผม แต่ผมเล่นเกมใหญ่เสมอเพราะเราต้องเล่นมิดฟิลด์ 3 คน" บัตต์ ย้อนรำลึก "ดังนั้นผมโอเคดี มันไม่ได้มีความสุขแบบเปี่ยมล้นขนาดนั้นแต่ก็โอเค"

"แต่ผมทนไม่ได้จริงกับผู้เล่นที่ไม่ได้ดีเท่ากับผมได้ลงเล่นก่อนผมอย่าง เคลแบร์ซอน, เฌมบ้า-เฌมบ้า แค่เพราะว่าพวกเขาถูกซื้อเข้ามา ผมทนไม่ได้ดังนั้นผมจึงไป แต่มันเป็นเรื่องยาก ในครึ่งที่สองเมื่อสองปีก่อน มันไม่ได้ยากนักเพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

หลังจากกลับมาอยู่กับทีมในฐานะโค้ชทีมสำรองเมื่อปี 2012, บัตต์ ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าอะคาเดมี่และในปี 2019 ก็ขึ้นมาเป็นหัสหน้าฝ่ายพัฒนานักเตะของทีมชุดใหญ่ แต่หลังจากนั้นสองปีก็ต้องแยกทางอีกครั้ง


"ผมสามารถอยู่ไปอีก 25 ปี และมีงานเล็กๆน้อยๆที่ดี ทำงานไปเงียบๆ แต่นั่นไม่ใช่ผม" 

เชื่อกันว่า บัตต์ ขัดแย้งกับ จอห์น เมอร์ทัฟ ผู้อำนวยการฟุตบอลของทีมซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งไม่นานก่อนที่เขาจะจากไป ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่น่าเศร้า

"ผมไปสัมภาษณ์งานมาบ้าง, ทีมชาติอังกฤษชุดยู-21, อเบอร์ดีน, ฮัดเดอร์สฟิลด์ แต่ผมอายุ 46 ปีแล้วและผมตระหนักว่าผมไม่ได้มีการสัมภาษณ์ที่ดีเลยในชีวิต ผมเกลียดมัน"

"ผู้คนมากมายไปสัมภาษณ์งานฟุตบอล มันไร้สาระจริงๆ คุณจะมีคนที่มีโปรเจ็คต์ขนาดใหญ่บนหน้าจอ แต่รับประกันได้เลยว่าคนพวกนี้ไม่ได้ทำมันขึ้นมาเอง"

"ดังนั้นผมไม่สามารถทำมันได้ ผมรู้สึกเบื่อ ผมอยากจะนั่งคุยกับคุณเหมือนกับอยู่กับคุณตอนนี้และดื่มกาแฟกันมากกว่า ผมอยากพูดปรัชญาของผม เกี่ยวกับการนำผู้เล่นอายุน้อยเข้ามา นั่นคือสิ่งที่ผมถูกสอนมา"


"ในไม่ช้าผมก็รู้ว่าผมจะไม่ได้งานในวงการฟุตบอลเพราะว่าผมไม่สามารถในสิ่งที่ผู้คนต้องการได้ ผมแค่พูดในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้อง"

ส่วนหนึ่งที่ บัตต์ ทิ้งเอาไว้ที่ยูไนเต็ดก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เคยดูแลกันมาซึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า "สำหรับพรสวรรค์ด้านฟุตบอล เขาเจ๋งไม่แพ้ใครในโลกกับสิ่งที่เขาทำ เขาแค่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง"

"แต่ความสำเร็จไม่ได้เป็นเพราะผมทั้งหมด นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ดึงดูดใจผมที่สโมสร ไม่มีอะไรขึ้นอยู่กับคนคนเดียวใช่ไหมล่ะ?"

"มาร์คัส และคนอื่นๆเริ่มต้นกับยูไนเต็ดตอน 7 ขวบ แต่ทุกคนทำงานกับพวกเขาในคืนวันพฤหัสบดี และในเช้าวันเสาร์ก็ไม่เคยได้รับการพูดถึง"

"สำหรับผมเมื่อผู้คนนั่งเฉยๆแล้วพูดว่า 'เราทำได้ยอดเยี่ยมมากด้วยการส่งผู้เล่น X, Y, Z ลงสนาม' มันไม่ถูกต้อง กว่าจะได้เด็กตั้งแต่อายุ 8 ขวบขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อาจจะต้องใช้ถึง 50 คน"


นอกจากนี้ บัตต์ ยังทำงานร่วมกับ เมสัน กรีนวู้ด ที่ปัจจุบันถูกตัดออกจากทีมจากปัญหาทำร้ายร่างกายแฟนสาวที่เป็นคดีใหญ่โต ซึ่งเจ้าตัวไม่สงสัยในพรสวรรค์ของแข้งรายนี้เลย ถึงขนาดที่ โชเซ่ มูรินโญ่ อยากส่งลงเล่นชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 ปีเลย

"โชเซ่ (มูรินโญ่) แบบว่า 'ส่งเขาลง' แต่ผมบอกเขาไปว่าน้องมันยังเด็กอยู่และมันมีกฎหมาย ผมพูดกับ ไรอัน (กิ๊กส์) เมื่อเร็วๆนี้ว่า เมสัน คือคนเดียวที่ผมเห็นว่าใกล้เคียงกับเขาตอนอายุ 17 ปี เพราะเขายอดเยี่ยมมาก"

"เราไปเยือน ลิเวอร์พูล ในเกมอะคาเดมี่ เราโดนนำ 2-0 และเขาก็ถูกส่งลงมา เขายิงฟรีคิกด้วยเท้าซ้าย วอลเล่ย์ด้วยเท้าขวา ลูกโหม่ง จากนั้นก็ฟรีคิกเท้าขวา คุณมองดูเขาแล้วคิดว่า 'เด็กคนนี้จะไม่ยิ่งใหญ่ได้ยังไง'"



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด