:::     :::

เปิดแผล!

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
4,101
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
บางทีดนตรีร็อกเมทัลก็ไม่ได้ให้ความมันส์เร้าใจเสมอไป

    กับเกมแดงเดือดยกล่าสุด แบบฉบับแนวเพลงของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องลงเอยด้วยความเศร้าแสนดราม่า

    เรียกได้ว่าเปลี่ยนอารมณ์กันแทบไม่ทันเอาเสียเลย

    ความพ่ายแพ้ต่อศึกแห่งศักดิ์ศรีทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องเหนื่อยต่อกับการแย่งชิงพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากคู่แข่งในวันเดียวกันอย่าง เชลซี ก็เก็บชัยไล่หลังมาแล้วด้วย

    ให้หลังมาอีกหนึ่งวันทั้ง อาร์เซน่อล (ยังมีลุ้นไหม) และ สเปอร์ส ต่างก็คว้าชัยได้ไม่พลาด จากลุ้นรองจ่าฝูง จู่ๆ โดนกระโดดถีบลงมาที่ 4 ซะอย่างงั้น

    พูดถึงการบุกไปสะดุดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของหงส์แดงมีรายละเอียดเยอะแยะมากมาย ไล่ตั้งแต่ความผิดพลาดส่วนบุคคล ความผิดพลาดในแนวรับ เกมรุกที่ไม่เก่งกาจเหมือนเก่า รวมถึงการทำหน้าที่ของ เคร็ก พอว์สัน เชิ้ตดำขวัญใจเด็กหงส์

    ก่อนเกมบรรดาเดอะ ค็อป ต่างมั่นใจนักมั่นใจหนาว่าทีมรักจะหักด่านกวาดสามแต้มได้ คล็อปป์เองก็จัดทีมแบบเน้นรุกเต็มสูบเหมือนเดิม แดนหน้ายังเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ รวมถึงเติมความปราดเปรียวของ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เข้าไปด้วย

    ขณะที่ผีแดงของ โชเซ่ มูรินโญ่ นั้นเปลี่ยนทีมเล่นแบบรัดกุมตามคาด จากช่วงหลังที่ใช้ระบบ 4-3-3 ก็ปรับยืน 4-2-3-1 โดยทิ้ง โรเมลู ลูกากู ค้ำไว้สูงเพียงคนเดียว

    รูปเกมมันก็เป็นไปอย่างสูสี ไม่มีวี่แววว่าฝั่งไหนจะได้เฮก่อน แม้หงส์แดงจะครองบอลเยอะกว่าก็ตาม

    กระทั่งมาถึงนาทีที่ 14

    มันน่าจะเป็นฝันร้ายสำหรับ เดยัน ลอฟเรน อีกวันเลย

    เขาไม่สามารถเทกตัวโหม่งเอาชนะลูกโด่งง่ายๆ ที่เปิดยาวมาจากแนวลึกจนโดนหัวหอกเบลเยียมตัดหน้าเช็ดไปให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กระชากขึ้นมาทางซ้าย

    อันที่จริง แรชฟอร์ด ก็ดูจะแตะบอลเสียเหลี่ยมไปแล้วด้วย ทว่าด้วยความอ่อนประสบการณ์ของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อโดนกองหน้าวัยใกล้เคียงล็อกหลอกหนึ่งที คราวนี้ทุกอย่างจากเรื่องยากจึงกลายเป็นง่ายในทันใด

    ลูกที่สองในอีก 10 นาทีให้หลังก็ไม่ต่างกัน มันเหมือนฉายภาพซ้ำ และก็กลายเป็น แรชฟอร์ด คนเดิมรับบทพระเอกซัลโวไม่พลาด

    การตามหลังคู่แข่ง 2 ประตูว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือดันเป็นทีมของ มูรินโญ่ เนี่ยสิ!

    คล็อปป์ พร้อมลูกทีมแทบรู้ตัวว่าต้องกลับบ้านมือเปล่านับตั้งแต่นั้น แม้ครึ่งหลังจะมีฮึดไล่คืนมาหนึ่งเม็ด แต่นั่นก็ใช่เกิดจากการเข้าทำอันยอดเยี่ยมเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นความผิดพลาดส่วนตัวของ เอริก ไบยี่ เท่านั้นเอง

    จำเลยในวันนั้นมีอยู่ 2 คน ทุกท่านรู้อยู่แล้วว่าเป็น ลอฟเรน กับไอ้หนูเทรนท์

    สำหรับกองหลังทีมชาติโครเอเชียนั้นก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจกองเหล่ากองเชียร์ได้เหมือนกันในช่วงหลังๆ แต่แผลที่ชัดมาก และสังเกตุมานานแล้วของเจ้าตัวก็คือชอบติดประมาท แอ็คอาร์ต โชว์เหนือแบบไม่จำเป็น ลูกแรกที่เสียก็มาจากการที่เจ้าตัวทำเก๋า ประกบคู่แข่งห่าง ไม่ได้ขึ้นเบียดปล่อยให้ ลูกากู โหม่งชงแบบสบายใจเฉิบ

    แต่ครึ่งหลังดันเหมือนเล่นเป็นคนละคน จังหวะสกัดเด็ดขาด เสียบเป็นเสียบ เอ่อ... แล้วไมคุณมึงไม่เล่นแบบนี้ตั้งแต่แรกฟะ!!!

    ทว่าจะยกความผิดทั้งหมดให้พี่แกเต็มๆ เลยก็ไม่ได้ เพราะเอาเข้าจริงเหล่ามิดฟิลด์ที่มีอยู่ก็ไม่ได้มาช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไอ้โค้ชรถบัสสั่งแผนโยนโด่งเล่นงานแบบนี้ กลับไม่มีพวกมิดฟิลด์ที่เข้ามาบังหน้าหรือเบียดให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะเลย แชมเบอร์เลน และ ชาน ก็ปล่อยให้บอลลอยข้ามหัวไปแบบนิ่งๆ

    โทษใครล่ะ!

    คล็อปป์ไง... ใช่ว่ากุนซือเมืองเบียร์ไม่เก่งอะไรหรอกนะ แต่เขาก็ไม่ละเอียดมากพอที่จะป้องกันแผนโบราณที่ ดาบิด เด เคอา เปิดยาวจากหน้าปากประตูตัวเองให้กองหน้าร่างใหญ่เช็ดบอลต่อ

    กุนซือเยอรมันคือคนที่ปลุกความเชื่อ ปลุกจิตวิญญาณของเดอะ ค็อปให้กลับมาลุกโชนหลังโดน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ย่ำยีอยู่พักใหญ่

    เรื่องของฝีมือ เขาเก่งอยู่แล้ว คลาสการทำทีมให้เล่นเกมรุกสนุก ดุดันนั้นเป็นอะไรที่คนชื่นชอบมาก แต่ทุกอย่างที่ว่ามาเพียงไม่เวิร์กสำหรับเกมแดงเดือดเท่านั้นเอง

    สำหรับ ดาวรุ่งอย่าง เทรนท์ แน่นอนว่าเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดีมีอนาคต แต่ประสบการณ์ยังห่างไกลคำว่าเก๋าอยู่มาก แผลมันเปิดชัดเจนเมื่อ มูรินโญ่ สั่งให้ แรชฟอร์ด ใช้ความเร็วเผาเครื่องดาวรุ่งคนนี้แบบตัวต่อตัว

    พอเห็นได้ผล ทีนี้ผีแดงได้ใจเลยเจาะมันอยู่ฝั่งเดียว  สถิติชัดมากว่า แมนฯ ยูไนเต็ด บุกฝั่งซ้ายถึง 53% เมื่อเทียบกับอีกข้างที่มี ฆวน มาต้า แค่ 28% เท่านั้น

    หลายคนบอกเปลี่ยนไอ้เทรนท์ออกซะก็สิ้นเรื่อง แต่จริงๆ ทางแก้มันง่ายมากกว่านั้น เพราะหากวิเคราะห์ให้ดี คล็อปป์ ไม่ควรปล่อยให้ไอ้หนูเทรนท์รับมือ แรชฟอร์ด เพียงคนเดียว เหมือนกับที่ ลอฟเรน ก็ต้องรับมือ ลูกากู แบบเดี่ยวๆ เหมือนกัน

    ถ้าลองคิดมุมกลับ หาก คล็อปป์ เลือกปรับ ดิ อ็อกซ์ ที่ยืนฝั่งขวาไปเล่นทางซ้าย แล้วสลับ เจมส์ มิลเนอร์ มายืนมิดฟิลด์ตัวขวาแทน กองกลางประสบการณ์ล้นเหลือ และเล่นเกมรับได้ดีกว่าอย่าง มิลเนอร์ อาจช่วยเหลือ เทรนท์ ได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

    หลายคนอาจแย้งมันไม่ง่ายขนาดนั้นมั้ง แต่หากลองนึกภาพให้ละเอียดมันก็อาจจะดีกว่าที่แบ็กขวาวัย 19 ปีโดนจุดไฟไหม้เกรียนมจนเสียผู้เสียคนขนาดนี้ไม่ใช่หรือ

    ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล อาจเล่นได้ดีกว่าเยอะ ครองบอลมากกว่าเยอะ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ มูรินโญ่ บังคับให้รูปเกมต้องเป็นแบบนี้ เพราะดูดีๆ นายทวารทีมชาติสเปนก็แทบไม่ได้ออกแรงเซฟลูกอันตรายอะไรเลยด้วยซ้ำ

    ประมาณว่า มึงอยากครองบอลก็ครองไป พวกกูควบคุมสถานการณ์ได้เป็นพอ

    มวยยกนี้ มูรินโญ่ ชนะคะแนน แต่จริงๆ แล้ว คล็อปป์ ไม่ได้ด้อยกว่าอะไรเลย ทว่าบางทีกุนซือเมืองเบียร์แค่ลืมใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้จัดการทีมโปรตุกีสเก็บได้ทุกเม็ดในเกมนี้

    แผลที่ว่ามาเลยถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย แต่มองในแง่ดี การที่เลือดไหลซิบๆ ครั้งนี้ก็น่าจะทำให้เราได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง และหาทางปิดมันให้สนิทโดยเร็ว

    โชคยังดีที่เรื่องราวไม่ได้โหดร้ายมากเกินไปนัก เพราะจบเกมแชมเปี้ยนส์ลีกคืนวันอังคาร โลกของเดอะ ค็อปก็กลับมาสงบสุขได้อีกครั้ง

    ส่วน เคร็ก พอว์สัน น่ะเหรอ... ขอแนะนำให้ไปไกลๆ ส้นตีนเถอะ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด