:::     :::

อาร์แซน เวนเกอร์ : สู่ทำเนียบหอเกียรติยศ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
22 ปีในตำแหน่งผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล ที่มีช่วงเวลาแห่งความทรงจำมากมาย อาร์แซน เวนเกอร์ เหมาะสมและคู่ควรอย่างยิ่งกับการถูกเลือกเข้าสู่ 'หอเกียรติยศ' (Hall of Fame) ของพรีเมียร์ลีก

อาร์แซน เวนเกอร์ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นผู้จัดการทีมสองคนแรกที่ได้รับการเชิดชูเกียรติพร้อมกันหลังมีส่วนสำคัญทำให้พรีเมียร์ลีกได้รับความนิยมขึ้นอย่างมากในช่วงสองทศวรรษแรก 

ในความทรงจำและรับรู้ของแฟนบอล เวนเกอร์ และ เฟอร์กี้ เปรียบเสมือนภาพจำของพรีเมียร์ลีกที่มีการขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างเข้มข้น ตื่นเต้น เร้าใจ และสุดท้ายก่อเกิดมิตรภาพอันสวยงามระหว่างกุนซือทั้งสอง

สำหรับ อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งคุม อาร์เซน่อล ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรระหว่างปี 1996 จนถึง 2018 สามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 3 สมัย และได้เอฟเอ คัพ อีก 7 สมัย

เขานำทัพปืนใหญ่ขึ้นถึงจุดสูงสุดด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์ในปี 1998 และ 2002 รวมถึงแชมป์ไร้พ่าย 2004 ที่คงยากจะมีใครเลียนแบบได้ 

นอกจากความสำเร็จในรูปแบบถ้วยรางวัลแล้ว เวนเกอร์ ยังทำให้มุมมองที่แฟนบอลมีต่อฟุตบอลเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยรูปแบบการเล่นเฉพาะตัว วิธีการฝึกซ้อมสมัยใหม่ การสร้างและพัฒนานักฟุตบอล วิธีการบริหารจัดการสโมสร รวมถึงอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่นำมาสู่วงการลูกหนัง 

ในโอกาสถูกรับเลือกให้เข้าสู่ ฮอลล์ ออฟ เฟม ในครั้งนี้ อดีตกุนซือวัย 73 ปี มีเรื่องราวและความในใจมากมายถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำกับ อาร์เซน่อล ที่เขาเริ่มต้นสั้นๆ ได้ใจความว่า "ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง"

"ผมเป็นผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรก และไม่มีใครรู้จักเลยในตอนนั้น" เวนเกอร์ กล่าวถึงตอนรับงานในตำแหน่งกุนซือทีมปืนใหญ่เมื่อ 27 ปีก่อน 


"มีความเคลือบแคลงสงสัยมากมายเกิดขึ้นเพราะมีความเชื่อกันว่าผู้จัดการทีมต่างชาติจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในอังกฤษได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจแต่อย่างใด สำหรับผมแล้ว นี่คือโอกาสได้ทำให้ผู้คนเห็นว่าผมมีความสามารถที่จะคุมทีม อาร์เซน่อล ได้"

"ผมคงต้องบอกว่านี่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าคุณคงอยู่สโมสรใหญ่ไม่ได้หากไม่พยายามมอบสิ่งที่พิเศษกลับคืนสู่แฟนบอลของคุณ"

เวนเกอร์ ลงมือทำตามที่ตั้งใจกับการนำแนวทางใหม่เข้ามาปรับเปลี่ยนสโมสรที่ทุกคนต้องปรับตัวกันหมด และผลลัพธ์ที่ได้หลังผ่านการคุมทีมเต็มฤดูกาลเป็นฤดูกาลแรกคือตำแหน่ง 'ดับเบิ้ลแชมป์' 

วิธีการฝึกซ้อมรูปแบบใหม่ การควบคุมอาหาร และการวิเคราะห์ต่างๆ ช่วยให้ผู้เล่นอังกฤษอายุมากหลายคนในทีมตอนนั้นยืดเวลาค้าแข้งเพิ่มออกไป และปรับตัวเข้ากับผู้เล่นต่างชาติได้ดีจนสรรค์สร้างสไตล์การเล่นเฉพาะตัวที่แฟนบอลในอังกฤษไม่เคยเห็นมาก่อน

"ตอนผมมาถึงสโมสรในปี 1996 ผมคิดเอาไว้ว่า 'เรามาดูกันว่าช่องว่างระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเรามีมากเพียงใด และต่อจากนี้เราจะพยายามทำให้มันออกมาถูกต้อง" 

"ผมรับมรดกทีมที่ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้เล่นอายุเกิน 30 ปี ในทีมเป็นพวกเลือดนักสู้อังกฤษที่ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก และมีทีมสปิริตที่สุดยอด"

"ผมต้องการเปลี่ยนวิธีการฝึกซ้อมของพวกเขา ในตอนนั้นยังไม่มีหุ่นจำลองฝึกซ้อมในอังกฤษเลย ไม่มีนักวิเคราะห์ด้วย ไอเดียต่างๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์สมรรถภาพทางร่างกายของนักเตะได้เริ่มต้นที่สโมสรของเรา"


ในช่วงเวลาก่อนรับตำแหน่งผู้จัดการทีมปืนใหญ่ เวนเกอร์ กำลังคุม นาโงย่า แกรมปัส ในเจลีก ญี่ปุ่น แต่กระนั้นก็ติดตามฟุตบอลยุโรปอย่างใกล้ชิด และประทับใจฝีเท้าดาวรุ่งรายหนึ่งอย่างมากจนกระทั่งดึงร่วมงานที่อาร์เซน่อลเป็นคนแรก 

"เราตัดสินซื้อ ปาทริค วิเอร่า เพราะผมชื่นชอบเขามาตลอด อันที่จริงตอนที่ผมโทรหาเขา เขาอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมเพื่อเซ็นสัญญากับ อาแจ็กซ์ เขากำลังจะเซ็นในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมเกลี้ยกล่อมให้เขาขึ้นเครื่องไปลอนดอนในเช้าวันต่อมาเพื่อเซ็นกับ อาร์เซน่อล"

"ผมดึง (เอ็มมานูเอล) เปอตีต์ เข้ามา ต่อด้วย เธียร์รี่ อองรี และจากนั้นเราก็กลายเป็นทีมที่พร้อมลุยกับการมี เบิร์กแคมป์, อองรี, เปอตีต์, วิเอร่า บวกเข้ากับแข้งอังกฤษในแนวรับที่พร้อมสู้ถวายหัว พวกเขาต่างเป็นกองหลังที่ฉลาดมากๆ มันสร้างสมดุลที่ดีในทีม"

จากทีมชุดดับเบิ้ลแชมป์ 1998 ถึง 2002 มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นเข้า-ออกต่อเนื่อง แต่ศักยภาพของทีมยังคงแข็งแกร่งท้าทายแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในทุกฤดูกาล กลายเป็นสองขั้วอำนาจของพรีเมียร์ลีก 

เวนเกอร์ ผลักดันและท้าทายนักเตะพยายามเค้นขีดความสามารถออกมาให้ได้มากกว่าที่คิด นี่คือแนวคิดสำคัญที่ส่งให้เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2003/04 โดยไม่แพ้ใครแม้แต่นัดเดียว 

"หากคุณมีนักเตะดีสุดในโลก คุณก็มีภาระหน้าที่ต้องทำให้ดีที่สุดด้วย" เวนเกอร์ ยืนยัน "นี่คือการแข่งขันที่แท้จริง ชัยชนะอย่างเดียวไม่เพียงพอ ความผูกพันในความสมบูรณ์แบบคือสิ่งสำคัญสุดสำหรับผม" 

"หากคุณคว้าแชมป์ลีกได้ (ในฤดูกาล 2001/02) คุณมักคิดเสมอว่าคุณสามารถคว้าแชมป์ได้โดยไม่แพ้ใครเลย ผมรู้สึกแบบนั้นและต้องการมองหาแรงกระตุ้นใหม่เพื่อให้นักเตะทำงานหนักมากขึ้น และเพื่อจะได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเก่งขึ้นได้อย่างไร"


"ดังนั้น ผมจึงตั้งเป้าหมายให้กับนักเตะ ทว่ามีเกมที่เราแพ้คาบ้านในปี 2003 ผมถามนักเตะ 'เกิดอะไรขึ้น?' พวกเขาตอบว่า 'เพราะคุณตั้งเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ให้กับเรา'"

"นี่คือโมเมนต์ที่คุณอาจนั่งลงแล้วพูดว่า 'โอเค ผมยอมก็ได้ตอนนี้ ขอโทษด้วย ผมพลาดเอง ถ้างั้นก็แค่ออกไปเล่นและคว้าแชมป์ให้ได้' หรือไม่ก็พูดว่า 'ไม่เลยเพื่อน ฉันเชื่อว่าพวกนายสามารถทำได้จริงๆ ฉันบอกไปแบบนั้นเพราะฉันเชื่อว่าพวกนายสามารถทำได้'"

"เมื่อผมมองย้อนกลับไปในวันนี้ มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดฤดูกาล ผมว่าผมเองก็บ้านะ! ผมเชื่ออยู่นิดๆ ว่าความบ้าเล่นงานคุณได้ แต่ขณะเดียวกันความบ้าก็ช่วยให้คุณทำบางสิ่งยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน" 

หลังจากคุมทีมยาวนาน 22 ปี อาร์แซน อำลาสโมสรในปี 2018 และสโมสรก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อได้มองย้อนกลับมา กุนซือชาวฝรั่งเศสมีแต่ความภูมิใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำเพื่อสโมสร 

"ผมศรัทธาต่อสโมสร และทุ่มเททุกอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้" เวนเกอร์ กล่าว "ตอนผมอำลา ผมมีความภูมิใจว่าสโมสรอยู่ในจุดที่ดีทั้งเรื่องเงินในธนาคาร สนามที่สุดยอด ศูนย์ฝึกซ้อมอันยอดเยี่ยม และเราก็ได้แชมป์หลายรายการด้วย" 

"ผมต้องการเป็นที่จดจดจำในฐานะคนที่รัก อาร์เซน่อล เคารพในคุณค่าของสโมสร และจากลาในจุดที่สโมสรสามารถเติบโตและยิ่งใหญ่ต่อไป"


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด