:::     :::

ภารกิจกู้ศรัทธาชาวสีส้ม

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,478
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความมืดมนของทีมชาติฮอลแลนด์ หลังจากที่ร่วงตกรอบคัดเลือกตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสมา จนถึงฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย
เกิดอะไรขึ้นกับทัพ "อัศวินสีส้ม" ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจลูกหนังของโลก 
แม้ว่าการจะไม่ได้ลุยเวิลด์ คัพในรอบสุดท้ายจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับชนชาวฮอลแลนด์  เพราะหนล่าสุดก็เมื่อปี 2002 ซึ่งถือว่าไม่ได้นานมากนัก แต่ในฐานะที่เป็นรองแชมป์เมื่อปี 2010 ที่แอฟริกาใต้และเข้าถึงรอบตัดเชือกในปี 2014 ที่บราซิล การที่ไม่ได้ลุ้นแม้กระทั่งในรอบเพลย์ออฟย่อมทำให้แฟนๆหัวใจสีส้มผิดหวังเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่งเจ็บช้ำน้ำใจจากการตกรอบคัดเลือกแบบไม่ได้ลุ้นเมื่อปี 2016 
                     
                                               ทีมชาติฮอลแลนด์กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด
หากคุณเป็นแฟนบอลของชาติที่ยิ่งใหญ่และทะลุทะลวงเข้าไปถึงรอบสุดท้ายได้มาตลอด แต่กลับต้องกลายมาเป็นเพียงผู้ชมทางทีวีแถมไม่มีชาติตัวเองลงสนามนั้นมันยากที่จะทำใจจริงๆ
สีสันแห่งสีส้มที่หายไปจากรายการเมเจอร์นั้นอาจจะไม่ได้สำคัญกับแฟนบอลชาติอื่น แต่กับชาวฮอลแลนด์ รวมถึงชาติอื่นโดยเฉพาะคนไทยที่ตามเอาใจช่วยทัพสีส้มนั้นมันดูกร่อยๆไปเหมือนกัน
โรนัลด์ คูมัน ถูกดึงมาเพื่อกู้วิกฤติ แต่ก็รู้ว่าจะทำได้ดีขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่งทำงามหน้าโดน เอฟเวอร์ตัน ไล่ออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว 
เป้าหมายแรกคือการกลับไปร่วมวงรอบสุดท้ายในฟุตบอลยูโร 2020 ให้ได้
                         
                               อันเดรส อีเนียสต้า ผู้ทำลายฝันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกของ ฮอลแลนด์
"นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ" นิค อัลฟริงค์ นักข่าวของอัลเกมีน ดั๊กบลาด กล่าวผ่านสกายสปอร์ต
"เราทำได้ดีในฟุตบอลโลก 2010 และ 2014 ได้ตำแหน่งรองแชมป์และอันดับสามจากผลงานอันยอดเยี่ยมของ เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, อาร์เยน ร็อบเบน และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่"
"แต่ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นอำลาทีมชาติไปแล้วและอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ นี่คือความท้าทายอย่างใหญ่หลวงของ คูมัน ที่จะสร้างทีมให้แข็งแกร่งเหมือนกับที่ผ่านมา"
ขณะที่ มาร์ติน วิจเฟลส์ อีกหนึ่งนักข่าวจากอัลเกมีน ดั๊กบลาดที่คลุกคลีกับวงการฟุตบอลฮอลแลนด์มายาวนานกว่า 15 ปี ก็พูดถึงทีมชาติฮอลแลนด์ชุดนี้ว่า
"เราอยู่ในช่วงที่กำลังเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่"
"ไวจ์นัลดุม และ ฟาน ไดค์ เป็นเพียงสองคนที่เล่นอยู่ในระดับท๊อป ส่วนที่เหลือนั้นยังเป็นเรื่องยาก"
"เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสคุยกับ คูมัน ถ้าเขาลองดูจากทีมชาติไอซ์แลนด์ และยอมรับการเปรียบเทียบ พวกเขาไม่ได้มีนักเตะชื่อดังแต่ด้วยนักเตะชุดนั้นพวกเขาผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่สองครั้งหลัง เอาชนะคู่แข่งชื่อดังมาได้"
"เราต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่จากการไม่มีนักเตะเวิลด์ คลาส เราต้องเป็นเหมือน ไอซ์แลนด์ ในช่วง 2, 3 หรือ 4 ปีข้างหน้า"
                   
                                                            เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ว่าที่กัปตันทีมคนใหม่
นี่คือความท้าทายอย่างแท้จริงในการเข็นทีมขึ้นมา อาจจะไม่ไดถึงขนาดกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ แต่เป้าหมายก็คือการกลับเข้าไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ให้ได้
"เรามาถึงจุดนี้ นี่คือความท้าทายครั้งใหม่  มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจปฎิเสธได้" คูมัน เอ่ย
"ถือเป็นเกียรต์อย่างใหญ่หลวงที่ได้เป็นโค้ชทีมชาติฮอลแลนด์และผมมุ่งมั่นที่จะพาทีมเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง"
"ผมต้องการพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ในปี 2020 นั่นคือเป้าหมายของผม"
"นี่เป็นเรื่องใหญ่และความท้าทายครั้งสำคัญ ทุกคนรู้ดี เราไม่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่สองครั้งหลัง โอเค มันต้องใช้เวลาสักหน่อย"
"หลังจากงานที่เอฟเวอร์ตัน ทุกคนต้องเจอกับความยากลำบาก ผมต้องใช้เวลาเพื่อที่จะมีสมาธิอีกครั้ง"
"ผมต้องฟื้นฟูจิตใจ ต้องการเวลาในการผ่อนคลาย ผมจะกลับมาทำงานเพราะว่าผมพร้อมเท่านั้น"
"แม้กระทั่งหลังจากตัดสินใจ (โดนไล่ออก) ผมก็ยังคลั่งไคล้ในเกมฟุตบอลอยู่"
"ผมต้องการมีส่วนร่วมกำบงานตำแหน่งโค้ช ผมต้องการทำงานกับทีมชาติและนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความท้าทาย สำหรับผมและทีมชาติ"
                   
                                                      โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ยังมีโอกาสติดทีมชาติอยู่
หลังจากความล้มเหลวมาตั้งแต่ หลุยส์ ฟาน กัล, กุส ฮิ้ดดิ้งค์, แดนนี่ บลินด์ เรื่อยมาจนถึง ดิ๊ค อั๊ดโวคาท ฮอลแลนด์ ไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป และทีมก็อยู่ในช่วงที่เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง 
เริ่มจากงานแรกในตำแหน่งกัปตันทีมที่เจ้าของปลอกแขนคนเก่าอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน อำลาทีมชาติไปแล้ว ซึ่งทาง โรนัลด็ คูมัน เปิดเผยออกมาแล้วว่าน่าจะให้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์จากลิเวอร์พูล รับหน้าที่นี้ไป
กองหลังค่าตัวแพงเล่นในตำแหน่งที่แน่นอน มีภาวะความเป็นผู้นำตรงตามแคแร็คเตอร์ที่เทรนเนอร์ดัตช์ตั้งเป้าเอาไว้
แต่ความยากในงานนี้คือบรรดาแข้งดังมีชื่อทั้งหลายต่างทยอยปลดประจำการณ์กับแทบทั้งสิ้น คนเดียวที่ยังพอมีลุ้นก็คือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ดาวยิงตัวเก๋าที่ปัจจุบันกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดกับ เฟเยนูร์ด และทำผลงานได้ไม่เลว 
แน่นอนว่าทาง คูมัน เองก็ยังเปิดโอกาสให้อดีตหัวหอกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาติดทีมอีกครั้งหากผลงานเข้าตา
"เขาไม่เคยบอกว่าเขาจะเลิกเล่นทีมชาติ แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องทำให้เห็นว่าดีพอ" คูมัน ที่ได้ดูเกม เฟเยนูร์ด บุกชนะ ซโวลล์ 4-3 โดย เพอร์ซี่ ยิงสองประตู โดยปัจจุบันเจ้าตัวรั้งตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของทีมชาติที่ 50 ประตู
นักเตะในทีมชุดนี้มีเพียงแค่ ไรอัน บาเบล คนเดียวที่อายุเกินเลขสาม และเป็นคนที่ติดทีมชาติมากที่สุด 46 เกม โดยทีมชุดนี้ล้วนแล้วเป็นเด็กอายุน้อยและมีถึง 5 คนที่เพิ่งถูกเรียกมาติดทีมครั้งแรก มาร์โก บิซ็อต ผู้รักษาประตูจากอัลค์มาร์, ฮานส์ ฮาเทบัวร์ กองหลังจากอตาลันต้า, กุส ทิล กองกลางจากอัลค์มาร์, วูต เว็กฮอร์สต์ กองหน้าจากอัลค์มาร์ และ จัสติน ไคลเวิร์ต กองหน้าจากอาแจ็กซ์
                       
                                     จัสติน ไคลเวิร์ต ดาวโรจน์ดวงใหม่ของวงการฟุตบอลฮอลแลนด์
แน่นอนว่าคนที่ได้รับการจับตามองมาที่สุดคงหนีไม่แพ้ "ไคลเวิร์ต จูเนียร์" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ พาทริค ไคลเวิร์ต อดีตดาวยิงทีมชาติที่ซัดไป 42 ลูกในนามทีมชาติ
เจ้าหนูวัย 18 ปีกลายเป็นนักเตะดังไม่ใช่เพราะว่าพ่อของเขาคือยอดกองหน้า แต่ด้วยฝีเท้าที่เก่งฉกาจต่างหาก ซึ่งนอกจากจะเล่นในตำแหน่งกองหน้าแล้วยังสามารถขยับออกไปเล่นด้านข้างในฐานะตัวริมเส้นได้อีกด้วย
หลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในวัยเพียง 17 ปี แต่ลีลาที่พริ้วเกินอายุแถมทีเด็ดอยู่ที่การเล่นได้ "ทั้งสองเท้า" 
กระทั่งในฤดูกาลนี้ที่เฉิดฉายสุดขีดกดไปแล้ว 7 ประตูในเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ จนกลายเป็นที่จับตาของสโมสรทั่วยุโรป
"ไฮไลท์ของผมเกิดขึ้นในยูโรปา ลีกรอบชิงชนะเลิศ แม้ว่าผมไม่ได้ลงเล่น แต่มันเป็นโอกาสอันดี มีความพิเศษ ไม่บ่อยหรอกที่คุณจะมีโอกาสแบบนี้" ไคลเวิร์ต พูดถึงเกมที่ อาแจ็กซ์ พ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-2 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อปีที่แล้ว
หลังจบเกม โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือปีศาจแดงตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าหนูวัย 17 ปีในขณะนั้นพร้อมพูดคุยอะไรบางอย่าง กลายเป็นว่านักข่าวเอาไปเล่นกันเสียใหญ่โตว่ากุนซือโปรตุกีสชวนเจ้าตัวไปอยู่ด้วยกันที่แมนเชสเตอร์
                    
                                 คุยกับ โชเซ่ มูรินโญ่ จนกลายเป็นกระแสว่าจะย้ายไป แมนฯ ยูไนเต็ด
แต่ในที่สุดทุกอย่างก็เปิดเผยเมื่อ จัสติน ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า "เขาเดินมาหาผมแล้วพูดว่า ยิรดีที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน นั่นเพราะว่าเขารู้จักผมตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบเบาะ และเขาบอกว่ามันเยี่ยมมากที่ได้เห็นผมทำผลงานได้ดี"
นอกจากนี้ด้วยความยอดเยี่ยมของฝีเท้าเคยมี่ขาวเล็ดลอดออกมาจากค่ายคัมป์ นูของบาร์เซโลน่าว่า ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะเบอร์หนึ่งของโลกเดินเข้าไปคุยกับบอร์ดบริหารของทีมว่าขอให้ดึงตัวเจ้าหนูรายนี้มาร่วมทัพเลย โดยหัวหอกอาร์เจนไตน์เป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของ พาทริค ไคลเวิร์ต ด้วย 
"ผมไม่ได้คุยกับ เมสซี่ ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่"
"แต่มั่นใจได้เลยว่าผมมุ่งมั่นเต็มที่กับการคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่กับสโมสรให้ได้และการได้ไปติดทีมชาติฮอลแลนด์"
"ผมมีเป้าหมายอยู่สองอย่างคือได้แชมป์เอเรดิวิซี่และติดทีมชาติ แน่นอนว่าผมต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปด้วย"
"ผมต้องการที่จะพิสูจน์ในทุกๆอย่าง ผมยังเด็ก ผมทุ่มเทในการซ้อมและพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้"
โอกาสแรกในสีเสื้ออัศวินสีส้มคือการต้องเจอกับทีมขวัญใจมหาชนอย่าง อังกฤษ แถมลงเล่นในอัมสเตอร์ดัม อารีน่า สังเวียนแข้งของต้นสังกัดอย่าง อาแจ็กซ์ ด้วย 
ทั้ง โรนัลด์ คูมัน และ จัสติน ไคลเวิร์ต ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือทำผลงานให้ดีกับ ฮอลแลนด์ เพื่อพาทีมกลับคืนสู่แถวหน้าของวงการอีกครั้ง
เริ่มจากเกมวันศุกร์นี้เป็นการประเดิมเลยละกัน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด