:::     :::

"ฟุตบอลคือสิ่งสวยงาม" ฆวน มาต้า (ตอน 1)

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
3,318
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เชื่อว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคน คงจะชื่นชอบ "ฆวน มาต้า" ไม่น้อย

นอกจากผลงานในสนามแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้แฟนบอลจำนวนมากตกหลุมรักดาวเตะทีมชาติสเปน รายนี้ได้ไม่ยาก นั่นคือเรื่องของนิสัยใจคอ เขาถือเป็นนักเตะที่ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ส่วนใหญ่ วันว่างของเขาคือการออกไปท่องเที่ยว เพื่อเรียนรู้โลกใบนี้ให้มากขึ้น

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เขามักทำเสมอ นั่นคือการเขียนไดอารี่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกความทรงจำให้แฟนบอลได้ติดตามอ่าน ช่วงนี้ผมมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากปากของเขามาฝากกัน ไล่ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก จนไปถึงเส้นทางลูกหนังต่างๆ โดยเฉพาะการซิวแชมป์สโมสรยุโรปกับเชลซี ปิดท้ายด้วยโครงการด้านการกุศลที่เป็นหัวแรงหลัก ในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น

"วันนี้, ผมเปิดตัวบางสิ่งบางอย่างที่ผมหวังว่า มันจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆก็ตาม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักฟุตบอลคนอื่นทั่วโลก จะช่วยเหลือผมในโครงการนี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ผมอยากบอกคุณก่อนว่า .... ฟุตบอลหมายถึงอะไร ?"

"ผมจะเริ่มต้นพูดในสิ่งที่ผมไม่มีวันลืมเลือน ผมยังจำได้ดีถึงจังหวะที่บอลถูกโยนเข้ามา และเป็นโธมัส มุลเลอร์ ที่โหม่งผ่านมือปีเตอร์ เช็ก ก่อนที่บอลจะกระทบคานเข้าประตูไป ผมยังจำบรรยากาศรอบตัวไม่เคยลืม ผมไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเองด้วยซ้ำไป"

"บาเยิร์น มิวนิค ลงเล่นในบ้านของตัวเอง พร้อมกับยิงประตูออกนำในนาที 83 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2012 รอบชิงชนะเลิศ ทีมของผมอย่างเชลซี ตกเป็นรอง ผมไม่แน่ใจว่า เคยได้ยินเสียงในสนามแบบนี้มาก่อนหรือไม่ อีกไม่กี่วินาทีต่อมา ผมเดินไปรอเขี่ยบอลเริ่มเกมที่กลางสนามอัลลิอันซ์ อารีน่า เฝ้ารอผู้เล่นบาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังเฉลิมฉลองการทำประตู พวกเขาคิดในใจว่า มันจะเป็นประตูชัยอย่างแน่นอน"

"ผมรอการเขี่ยบอล เพื่อนร่วมทีมของผมอย่างดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เดินตามมาด้วย ดิดิเย่ร์ ไม่เคยแสดงท่าทีไม่สู้ และไม่เคยท้อแท้ แต่ตอนนี้ เขากำลังคิดยอมแพ้แล้ว ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ? เราทะลุเข้ามาถึงในรอบชิงชนะเลิศ และผู้จัดการทีมคนเก่าของเราเพิ่งโดนไล่ออกไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น จากนั้นเราพลิกสถานการณ์โค่นนาโปลี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนที่เราที่เหลือผู้เล่น 10 คนจะเอาชีวิตรอดจากสนามคัมป์ นู ในรอบรองชนะเลิศ ในตอนนี้ ... มันจะจบลงจริงๆเหรอ ?"

"ผมเอามือไปจับไหล่ของดิดิเย่ร์ พร้อมกับพูดกับเขาว่า -นายลองมองไปรอบตัวซิ ดูว่าเราอยู่ที่ไหน โปรดอย่ากังวลไปเลยเพื่อน เราต้องมีความเชื่อ ขอแค่ความเชื่อเท่านั้น- ผมเป็นคนที่เงียบขรึมนะ เมื่อเขาเห็นว่าผมสนับสนุนเขาเสมอ เขาเลยตอบกลับว่า -โอเค, ฆวน เราไปลุยกันเถอะ !!!- เราถูกล้อมรอบโดยแฟนบอลชาวเยอรมัน ประมาณ 50,000 คน ทั้งตัวผม และดิดิเย่ร์ ต่างรู้ว่าเรายังมีโอกาส ... 5 นาทีหลังจากที่เราเสียประตู เราก็มาได้ลูกเตะมุม ผมเป็นคนเปิดเตะมุมลูกนั้น และดิดิเย่ร์ ก็วิ่งมาโขกเข้าไป"

"หลังจากที่เราทำประตูนั้นได้ ผมคิดว่าเราจะเป็นแชมป์นะ แม้การแข่งขันต้องตัดสินกันที่ช่วงดวลจุดโทษ เมื่อดิดิเย่ร์ ก้าวมายิงจุดโทษเป็นคนสุดท้าย ผมคิดว่าเขายิงเข้าแน่นอน ใบหน้าของเขามันบ่งบอกอย่างชัดเจน ... จากนั้น ผมคิดถึงครอบครัวของผม ทุกคนเดินทางมาที่สนามแข่งขันด้วยในค่ำคืนนั้น ทั้งพ่อ, แม่, ปู่ย่าตายาย และผองเพื่อน ผมทราบดีเลยว่า การดวลจุดโทษจะทำให้พวกเขาเครียด โดยเฉพาะย่าของผม มีคนบอกกับผมว่า ในช่วงท้ายของการแข่งขัน ท่านถึงต้องกับไปซ่อนตัวในห้องน้ำ"

"ขณะที่พวกเรากำลังฉลองแชมป์ ผมมองไปยังบรรดาเพื่อนร่วมทีม มันทำให้ผมเห็นความงดงามของฟุตบอล ผู้รักษาประตูของเรามาจากสาธารณรัฐเช็ก, กองหลังของเรามาจากเซอร์เบีย และบางคนจากบราซิล, กองกลางของเรามีทั้งมาจากกาน่า, ไนจีเรีย, สเปน และอังกฤษ แน่นอนว่า กองหน้าที่น่าเหลือเชื่อมาจากไอวอรี่โคสต์"

"เรามาจากทั่วทุกมุมโลก จากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน และภาษาที่แตกต่าง โดยบางคนเติบโตมาพร้อมกับสงคราม หรือบางคนเติบโตมาท่ามกลางความยากจน แต่เรามาอยู่ร่วมกัน พร้อมกับเดินทางมาประเทศเยอรมัน และกลับไปในฐานะแชมป์สโมสรยุโรป อาจพูดได้ว่า เราเพื่อมาบรรลุเป้าหมายร่วมกัน สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้มีความหมายมากกว่าถ้วยแชมป์เสียอีก"

"ผมเป็นคนที่โชคดีมากที่เกิดในครอบครัวที่ให้การสนับสนุนทุกเรื่องอย่างเหลือเชื่อ เรามาจากทางตอนเหนือของประเทศสเปน พ่อของผมเป็นอดีตนักฟุตบอล ท่านเล่นในตำแหน่งปีกขวา นอกจากนี้ ท่านยังถนัดเท้าซ้ายเหมือนกับผมอีกด้วย แต่ผมคิดว่า ท่านวิ่งเร็วกว่าผมนิดหน่อย ท่านชอบที่จะเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง" มาต้า สลับมาเล่าถึงเรื่องราววัยเด็กของตัวเอง

"ผมจำได้เสมอว่า เคยดูเทปวิดีโอที่บันทึกฟอร์มการเล่นของพ่อในบ้านของเราที่โอเบียโด้ การดูท่านเล่นฟุตบอลเป็นอะไรที่สนุกมาก นั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากเติบโตเป็นนักฟุตบอลเช่นกัน มันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมผมในวัยเด็ก และเป็นแนวทางที่ผมถูกเลี้ยงดูมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ่อของผมจะเป็นนักฟุตบอล แต่ท่านก็ไม่เคยบังคับขู่เข็นให้ผมเป็นเหมือนท่าน ซึ่งท่านแค่ต้องการให้ผมกับพี่น้อง ได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเท่านั้นเอง"

"การมอบลายเซ็นครั้งแรก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการที่ผมเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ ตอนที่ผมอายุ 13 ผมได้รับการคัดเลือกไปแข่งขันตอบคำถามระดับภูมิภาค เราต้องตอบคำถามประมาณ 200-300 ข้อ !!! เราจบการแข่งขันด้วยการเป็นผู้ชนะ วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน เด็กที่อายุน้อยกว่าต่างอยากได้ลายเซ็นของเรา"

"จากนั้นเราได้รางวัลเป็นการทัวร์ประเทศต่างๆ อาทิเยอรมัน, ออสเตรีย, ลิคเท่นสไตน์ และสวิตเซอร์แลนด์ มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเห็นคนในประเทศอื่นๆว่าเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมอายุยังน้อย ผมได้เห็นการมองโลกในอีกรูปแบบที่แตกต่างออกไป ผมยังไม่รู้อะไรทุกอย่าง แต่ก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น ... กระทั่งอายุ 15 ฟุตบอลได้มอบบางอย่างแก่ผม และสิ่งนั้นเรียกว่า -โอกาส-”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})