:::     :::

สถานการณ์เปลี่ยน

วันศุกร์ที่ 06 เมษายน 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,289
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ทันทีที่สื่อทุกสำนักตีข่าวว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สาวกเรือใบต่างตีอกชกตัวกันเป็นการใหญ่
ไม่มีอะไรที่จะทำให้แฟนๆสะใจด้วยการคว้าแชมป์ในเกม "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" อีกแล้ว แน่นอนว่ามันจะเป็นโอกาสที่อาจจะไม่วนกลับมาแล้วอีกก็เป็นได้
แม้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเรือใบจะปากแข็งบอกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเกมนี้มากนัก แต่เชื่อเถอะว่าในใจยังไงก็ต้องตื่นเต้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ต้องยอมรับว่าฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล เกมรุกเฉียบขาด และเมื่อทีมเล่นเกมรุกและครองบอลเกมรับก็ไม่ต้องพะวงมาก จึงทำให้ซิตี้เป็นทีมที่ยิงมากที่สุดและเสียน้อยที่สุดอยู่ในเวลานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมในบ้านที่แกร่งสุดๆ ชนะ 14 และเสมอ 1 จากการลงสนาม 15 นัดในฤดูาลนี้ ทะลวงตาข่ายไปถึง 51 ลูก และเสียเพียง 10 ประตูเท่านั้น
               
แต่ความเฮฮาปาร์ตี้ทั้งหลายแหล่นั้นเพียงแต่เกิดขึ้นในไม่นาน ถึงตอนนี้ทัพเรือใบและพลพรรคสีฟ้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในฟุตบอลยุโรป
ความพ่ายแพ้ในการออกไปเยือน ลิเวอร์พูล 0-3 ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนักเตะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันนำมาซึ่งความห่วงกังวลยิ่งกว่าเกมลีก
ถึงตรงนี้คงไม่มีใครคิดว่าทัพ "เรือใบ" จะพลาดแชมป์ลีกแน่นอน เพียงแต่เมื่อวันอังคารหน้ามีศึกหนักกับ ลิเวอร์พูล รออยู่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเน้นสักแค่ไหนกับ "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้"
               
แน่นอนว่าในสายตาของกุนซือชาวสเปนรวมถึงลูกทีมต้องเห็นเกมยุโรปสำคัญกว่า เพียงแต่หากจะปล่อยให้เกมดาร์บี้ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อาจจะดูไม่งามสักเท่าไร 
ความมั่นใจ กำลังใจ แฟนบอล ทุกอย่างล้วนแล้วเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง 
ก่อนหน้าเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อวันอังคาร เป๊ป เคยเอ่ยเอาไว้แล้วว่าเขาเน้นความสำคัญในกับเกม ลิเวอร์พูล มากกว่า ยิ่งความพ่ายแพ้ 0-3 ในเกมเลกแรกยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าต้องยิ่งต้อง "เน้น" มากเป็นพิเศษ
แต่มันจะถึงขั้นที่จะปล่อยให้ทีมลงเอยด้วยความพ่ายแพ้หรือไม่ต้องถามใจเจ้าตัวเอาเอง
                
เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" กองหน้าตัวเก่งที่ไม่ได้ลงในเกมยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าจะฟิตพร้อมลงสนามในเกมไล่ล่าแชมป์ แต่ไม่รู้ว่าจะได้โอกาสลงสนามรึเปล่า หรือจะเก็บไว้ใช้งานในเกมเลกสองกับ ลิเวอร์พูล เลย
เชื่อว่าแฟนๆเรือใบคงเข้าใจหากว่าเกมนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (อาจ) จะไม่เน้นเต็มสูบเหมือนอย่างเกมลีกนัดที่ผ่านๆมา
นอกเสียจากว่าเทรนเนอร์ชาวสเปนหวังจะสร้างสถิติเป็นทีมที่คว้าแชมป์เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ที่ผ่านมาตามสถิติของพรีเมียร์ทีมที่คว้าแชมป์เร็วที่สุดเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำได้ในปี 1999/00 และ 2012/13 ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 4 เกม เช่นเดียวกับ อาร์เซน่อล ใน 2003/04 ที่ทีมสถิติไร้พ่าย
               
หากทัพเรือใบต้องการทำสถิติขึ้นมาใหม่พวกเขามีเวลาอีกสองเกมคือในเกมวันเสาร์นี้ กับเกมในสัปดาห์หน้ทที่จะบุกไปเยือน สเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน
ถามว่าเกมไหนง่ายกว่ากัน ก็คงต้องบอกว่ายากทั้งคู่ เพียงแต่อยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป คือเป็นเกมก่อนและหลังศึกสำคัญกับ ลิเวอร์พูล นั่นเอง
ลองไปไล่ดูสถิติสำคัญที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสทำลายลงได้ในฤดูกาลนี้
คว้าแชมป์เร็วที่สุด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1999/00 และ 2012/13), อาร์เซน่อล (2003/04) เหลือการแข่งขันอีก 4 เกม
ชนะมากที่สุด : 30 เกม (เชลซี ปี 2016/17)
ชนะในบ้านมากที่สุด (แข่ง 19 นัด) : 18 เกม (เชลซี 2005/06, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2010/11 และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2011/12)
ชนะนอกบ้านมากที่สุด (แข่ง 19 นัด) : 15 เกม (เชลซี 2004/05)
แต้มทิ้่งห่างมากที่สุด : 18 คะแนน (ฤดูกาล 1999/00 แมนฯ ยูไนเต็ด แชมป์มี 91 คะแนน อาร์เซน่อล รองแชมป์มี 73 คะแนน)
ยิงประตูมากที่สุด : 103 (เชลซี 1009/10)
ฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เล่นไปแล้ว 31 เกม ชนะ 27 เสมอ 3 แพ้ 1 ยิง 88 เสีย 21
สถิติในบ้านแข่ง 15 ชนะ 14 เสมอ 1 ยิง 51 เสีย 10
สถิตินอกบ้านแข่ง 16 ชนะ 13 เสมอ 2 แพ้ 1 ยิง 37 เสีย 11
                
นี่คือสถิติทั้งหลายที่ทีมของ เป๊ป มีโอกาสทำลาย โดยอาจจะทำได้เทียบเท่าก็คือชนะนอกบ้านและในบ้านนี่แหละ 
แต่การคว้าแชมป์เร็วที่สุดและชนะมากที่สุดที่ดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แถมเป็นสถิติที่คนให้ความสำคัญซะด้วย
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามาเล่นเพื่อเป้าหมายเดียวก็คือสามคะแนนเท่านั้นเพื่อการันตีคว้าอันดับสองของตาราง (ในความคิดของแฟนบอล) ซึ่งดูแล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ คงไม่น่าจะปล่อยให้โอกาสทองในการบดขยี้คู่แข่งร่วมเมืองหลุดลอยไป (มั้ง)
ถือเป็นหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดของพลพรรคผีแดงที่จะบุกเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองหลังจากที่เคยทำได้มาแล้วเมื่อปี 2016 แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเป็นแชมป์ได้ แต่ก็ชดเชยจากความพ่ายแพ้ 1-2 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดในฤดูกาลนี้
                
หนึ่งในนักเตะตัวความหวังของทีมก็คือ อเล็กซิส ซานเชซ ที่เกมล่าสุดถือว่าโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็นด้วยการยิงหนึ่ง แอสซิสต์หนึ่ง ให้ทีมเอาชนะ สวอนซี มาได้ 2-0 
นี่จะเป็นการลงเล่น "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" หนแรกของดาวยิงชาวชิลี หลังจากที่ก่อนหน้านนี้ก็เคยลงสนามพบทัพเรือใบมาแล้วหลายต่อหลายหนตั้งแต่สมัยอยู่กับ บาร์เซโลน่า จนกระทั่งย้ายมาร่วมทีม อาร์เซน่อล 
รวมสถิติลงเล่นเจอกับซิตี้มา 10 ครั้ง โดยเกิดขึ้นสมัยเล่นกับ บาร์เซโลน่า สองนัดในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อปี 2013/14 โดยทัพเจ้าบุญทุ่มกำชัยทั้งสองเกมแต่ อเล็กซิส ยิงประตูไม่ได้
ส่วนอีก 8 ครั้งเกิดขึ้นกับ อาร์เซน่อล ลงเอยด้วยการชนะ 3 เสมอ 3 แพ้ 2 รวมสถิติชนะทั้งหมด 5 เกม โดยยิงไป 3 ลูก แอสซิสต์อีก 1 หน
                
อีกคนที่น่าจะฝากความหวังได้ก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ซัดประตูใส่เรือใบ 2 ลูกจาก 3 เกมหลังที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้ผีแดง เพียงแต่ด้วยตำแหน่งการเล่นที่ทับไลน์กันต้องดูว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะจัดระบบยังไง ให้ใครเล่น หรือว่าจะจัดลงสนามทั้งคู่
ไม่ว่าจะยังไงนี่จะเป็นเกม "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" ที่เข้มข้นที่สุดอีกเกมหนึ่งด้วยศักดิ์ศรีค้ำคอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะว่าที่แชมป์และการลงเล่นในบ้านคงจะเล่นเกมบุกอย่างที่ควรจะเป็นในสไตล์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ว่าใครจะลงสนามก็ตาม
ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังไล่ล่าตำแหน่งรองแชมป์บอกตามตรงว่าไม่รู้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะมาไม้ไหนจริงๆ เพราะหากมองตามปกติแล้วคงมาเน้นรับแล้วโต้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าชัยชนะจะตกเป็นของฝ่ายไหนขอเพียงให้มันเป็นเกม "ดาร์บี้" สมกับที่เป็นเกม "ดาร์บี้" จริงๆก็พอ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด