:::     :::

เหตุผลที่ราชันจะครองจ้าวยุโรป

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
3,247
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึกชิงถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเตรียมฟาดแข้งกันในวันเสานี้แล้ว ท่ามกลางการจับตาของแฟนบอลทั่วโลก
         แน่นอนว่าทั้งกองแช่ง กองเชียร์ของทั้งสองสโมสร หรือใครก็ตามที่รักในเกมลูกหนังไม่มีทางที่จะพลาดสุดยอดเกมนี้
         เรอัล มาดริด สุดยอดทีมของโลก เจ้าของตำแหน่งแชมป์ยุโรปมากที่สุดและครองแชมป์มา 2 สมัยติดต่อกัน ปะทะกับ ลิเวอร์พูล ยอดทีมจากอังกฤษที่เล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจในฤดูกาลนี้ และเป็นหนึ่งในทีมที่มีแฟนบอลมากที่สุดในประเทศไทย
         เรอัล มาดริด กำลังไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 4 ในรอบ 5 ปีหลังสุด, ลิเวอร์พูล หวังคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 13 ปี 
         องค์ประกอบทั้งหลายแหล่ โพลทุกสำนักยกให้ทีมของ ซีเนอดีน ซีดาน เป็นต่อและเหนือกว่า มีโอกาสเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองมากกว่า
         แน่นอนว่ามีหลายเหตุผลที่ทำให้หลายคนคิดเช่นกัน (หากไม่นับแฟนบอลหงส์แดง) 
         วันนี้จะหยิบยกขึ้นมาให้ได้อ่านกันว่าเพราะอะไร เรอัล มาดริด สมควรจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปีนี้ไปครอง
เส้นทางสุดหฤโหด
         แน่นอน ในเส้นทางสายแชมเปี้ยนส์ ลีกไม่เคยมีอะไรง่ายอยู่แล้ว
         แต่ต้องยอมรับว่าในฤดูกาลนี้การป้องกันแชมป์ยุโรปของ เรอัล มาดริด ถือว่าหฤโหดกว่าที่ผ่านๆมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่มีทั้ง ดอร์มุนด์ ทีมแกร่งจากเยอรมัน, สเปอร์ส ทีมห้าวจากอังกฤษ และ อาโปเอล ทีมแกร่งจากไซปรัสที่คว้าแชมป์ลีกมา 5 ปีติดต่อกัน
         ราชันชุดขาวจบรองแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นรองแชมป์ โดยมี "ไก่เดือยทอง" เข้าป้ายเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสถิติชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 ยิงได้ 17 ประตู เสีย 7 ลูก
          
         และการเข้ารอบเป็นอันดับสองของกลุ่มทำให้เส้นทางที่รออยู่ข้างหน้าถือว่า "โหดหิน" ทีเดียว
         เริ่มตั้งแต่รอบ 16 ทีมที่ต้องเจอกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมแกร่งจากฝรั่งเศส ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นทีมที่เขี่ย "แชมป์เก่า" ตกรอบเนื่องจากในช่วงเวลานั้น เรอัล มาดริด กำลังอยู่ในช่วงที่ผลงานย่ำแย่จนมีข่าวว่า ซีเนอดีน ซีดาน อาจจะโดนปลดออกจากตำแหน่ง
         แต่ "ราชัน" ก็ยังเป็น "ราชัน" ในเกมเลกแรกแม้ว่าจะโดนออกนำไปก่อนแต่ก็พลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ 3-1 ก่อนที่จะบุกไปคว้าชัยที่ปาร์ก เดส์ แพร็งส์ 2-1 รวมผลสองเกมเอาชนะไปได้ 5-2 กรุยทางสู้รอบก่อนรองชนะเลิศ
         ในรอบนี้เองที่เล่นแฟนๆราชันชุดขางอกสั่นขวัญหายกันหมดกับการต้องมาฟาดฟันกับ ยูเวนตุส คู่ชิงเมื่อปืที่แล้ว และทุกอย่างก็ดูเหมือนง่ายไปหมดเมื่อเกมแรกบุกไปถล่มถึงตูริน 3-0 ทุกคนแทบจะยกให้แชมป์เก่าเข้ารอบตัดเชือกไปแล้ว
         ทว่าเมื่อกลับมาเล่นที่เบร์นาเบวกลับโดนผู้มาเยือนทะลวงสามประตูคืน ดีที่มาได้จุดโทษช่วงทดเจ็บชนิดน่ากังขาแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สังหารพาทีมเข้ารอบมาอยบ่างหวุดหวิดด้วยสกอร์ 4-3
              
         ในรอบรองชนะเลิศก็ยังเจอกับโครตทีมจากเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่ฤดูกาลที่แล้วก็เจอกันในรอบก่อนรองชนะเลิศ และต้องเล่นกันยาวถึง 120 นาทีในเกมที่สองกว่าจะผ่านเข้ารอบมาได้
         และก็เป็นอีกครั้งที่เกือบไปเหมือนกันจากเกมแรกที่บุกชนะถึง เยอรมัน 2-1 ก็ทำท่าว่าจะไม่ยาก แต่เกมในบ้านที่เสมอกัน 2-2 หลังเกมผ่านหนึ่งชั่วโมงจนให้แฟนๆตัวเกร็งกันสุดๆเพราะหากเสียประตูจะตกรอบทันที แต่สุดท้ายก็รักษาสกอร์ไว้ได้ ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 4-3
         เห็นได้ชัดเลยว่าจากเส้นทางในรอบที่ผ่านมาต้องเจอกับแชมป์ลีก เอิง ฝรั่งเศส, แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และ แชมป์บุนเดสลีกา เยอรมัน ต้องบอกว่าเส้นทางถือว่าโหดสุดๆ
แคแร็คเตอร์ที่ยอดเยี่ยม
         แม้ว่าผลงานในลีกจะย่ำแย่จนเรียกได้ว่าหมดลุ้นแชมป์ตั้งแต่ปีใหม่ แต่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 
         เมื่อการลุ้นแชมป์ลา ลีกาดูแล้วเป็นไปไม่ได้แน่ ซีเนอดีน ซีดาน ก็หันหัวเรือพุ่งตรงมายังถ้วยยุโรปทันที ส่วนในลีกก็อาศัยประคองตัวให้ตลอดรอดฝั่งเท่านั้น
         ต้องบอกว่า "ราชันชุดขาว" ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเกมเลกแรกรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก็เปิดหัวด้วยการโดนนำไปก่อนเลย 
          
         ส่วนในรอบก่อนรองชนะเลิศกับ ยูเวนตุส ถ้าไม่ได้จุดโทษในช่วงที่เรียกได้ว่านาทีสุดท้าย นึกภาพไม่ออกเลยว่าสภาพในช่วงต่อเวลาจะเป็นยังไง
         แต่ก็ต้องยอมรับในเรื่องของหัวจิตหัวใจอันแข็งแกร่งของทัพราชันชุดขาวที่แสดงให้เห็นว่าแม้ต้องเจอกับสถานการณ์ที่กดดันก็ยังฟันฝ่ามาได้อย่างยอดเยี่ยม
การบริหารอันยอดเยี่ยม
         เครดิตทั้งหมดทั้งมวลคงต้องยกความดีความชอบให้กับ ซีเนอดีน ซีดาน โดยเฉพาะ
         กุนซือชาวฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงการใช้มันสมองในการดึงความยอดเยี่ยมของนักเตะออกมา แม้จะออกสตาร์ทด้วยความย่ำแย่แต่ค่อยๆดึงให้ทีมกลับมาอยู่ในเส้นทางอีกครั้ง
        ท่ามกลางฤดูกาลที่ถือว่าไม่น่าพอใจกับบอร์ดบริหารในช่วงเริ่มต้น ทีมต้องการอะไรมากกว่าคำว่า "โชค" ที่จะพยุงทีมให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากท่ามกลางความกดดันอย่างมหาศาลที่ทีมต้องเผชิญกับสถาการณ์ที่ไม่สู้ดีไม่ใช่แค่ในสนามแต่รวมถึงนอกสนามด้วย
          
        ซีดาน อาจจะไม่ได้จ้าวแห่งแท็คติค แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าสามารถสร้างทุกความเป็นไปได้เกิดขึ้น อย่างการเปลี่ยนตัวอันชาญฉลาดกับ มาร์โก อาเซนซิโอ และ แกเร็ฑ เบล ในเกมกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในเกมเลกแรก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมพลิกกลับมาคว้าชัยได้
         ในขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ออกสตาร์ทอย่างเงียบเชียบ เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสค่อยๆปรับรูปแบบการเล่นของทีมให้เข้ากับดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีม พร้อมกับสร้างบรรยากาศมนห้องแต่งตัวให้ครึกครื้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
         แน่นอนหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องง่ายเมื่อคุณคุมทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ แต่มันก็เสี่ยงกับการที่คุณควบคุมผู้เล่นเหล่านั้นไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทีมที่อยู่ในมือของคุณคือ เรอัล มาดริด ด้วยแล้ว ไม่อนุญาตให้จบฤดูกาลด้วยมือเปล่า
          
         เรอัล มาดริด ทะลุถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกไม่ใช่เพียงเพราะว่าพวกเขามีทีมที่สุดยอด แต่มีโค้ชที่บริหารจัดการได้อย่างสุดยอดด้วย ซึ่งงคงไม่ใช่เรื่องของโชคแน่ๆในการพาทีมเข้าชิงถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ 3 ปีติดต่อกัน
ความเฉียบขาดในเกมรุก
         ขึ้นชื่อว่า เรอัล มาดริด แน่นอนว่าเกมรุกต้องดีเป็นอันดับต้นๆของโลก
         แต่เกมรุกที่ดีไม่ใช่เพยีงเพราะว่าคุณสามารรถหาจังหวะจบสกอร์ได้เท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูให้ได้ต่างหาก
         ในเกมกับ บาเยิร์น มิวนิค หลายคนลงคะแนนเสียงว่าทัพเสือใต้คู่ควรกับการผ่านเข้ารอบต่อไปมากกว่าจากโอกาสพังประตูที่เรียกได้ว่าเยอะกว่า "ราชันชุดขาว" ชนิดที่เรียกได้ว่าคนละระดับเลย แต่เมื่อดูจากคุณภาพแล้วต้องบอกว่าทัพจากสเปนทำได้ดีกว่า
           
         เกมเลกแรกที่อัลลิอันซ์ อารีน่า, ทีมของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส มีโอกาสจบสกอร์ 17 หน แต่ยิงได้ประตูเดียว ในขณะที่ เรอัล มาดริด มีโอกาสเพียง 7 ครั้งแต่เปลี่ยนเป็น 2 ประตู ในขณะที่เกมเลกสองที่เบร์นาเบวก็ยังเป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่ทำได้ดีกว่าด้วยโอกาสถึง 22 หน ขณะที่ทีมของ ซีดาน ได้โอกาส 9 ครั้ง แต่สกอร์จบลงที่ 2-2
         ทั้งสองเกมที่กล่าวมาไม่มีชื่อของ คริสเตียโน่ ดรนัลโด้ บนสกอร์บอร์ด แต่ผู้เล่นคนอื่นในทีมก็พร้อมที่จะเบิกสกอร์เหมือนกัน หาใช่เพียงแต่หวังพึ่งสตาร์ชาวโปรตุกีสคนเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าแม้ในวันที่ผลงานไม่ดีนัก เรอัล มาดริด ก็ยังยิงประตูได้อยู่ดี
          
         จากสถิติ ผลงาน ฟอร์มการเล่น แรงฮึด และมันสมองของ ซีเนอดีน ซีดาน น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่ทัพ เรอัล มาดริด จะก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปได้อีกครั้ง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด