:::     :::

ราชันชุดขาวจ้าวยุโรป

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
3,743
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ปิดฉากลงเรียบร้อยสำหรับฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2017/18 และผู้ชนะตกเป็นของ เรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่จากสเปน
         อาจจะเรียกได้ว่าไม่ผิดจากที่คาดกันไว้เท่าไร เพียงแต่รายละเอียดลึกลงไประหว่างเกมถือว่ามีจุดพลิกผันอยู่พอสมควร
         ซีเนอดีน ซีดาน ยึดผู้เล่นชุดเดียวกับรอบชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ผู้รักษาประตู เกย์ลอว์ นาวาส เฝ้าเสา กองหลัง ดาเนี่ยล การ์บาฆาล, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส และ มาร์เชโล่ คุมเกม
         แดนกลาง กาเซมีโร่, โทนี่ โครส และ ลูก้า โมดริช ส่วนแนวรุก อีสโก้, คาริม เบนเซม่า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นสามประสาน 
         นั่นหมายความว่า แกเร็ธ เบล ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักในช่วงหลังยังคงเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเช่นเคย
     
         ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทอย่างดุดันจริงๆ กดให้ เรอัล มาดริด ต้องถอยร่นไปอยู่ในแดนตัวเองแทบยกทีม โดยเฉพาะ มาร์เชโล่ ที่วิ่งไล่ตาม โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จนไม่ได้เล่นเกมรุกอย่างที่เคยได้เห้นกันมาตลอด
         แต่พอผ่าน 15 นาทีไป ราชันชุดขาวที่พยายามดึงเกมช้าก็เริ่มที่จะตั้งเกมของตัวเองได้บ้าง
         และก็เกือบได้ประตูเหมือนกันจากความผิดพลาดของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จ่ายบอลกลางสนามเข้าเท้า ดาเนี่ยล การ์บาฆาล จ่ายให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กระชากบอลเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนกดเต็มข้อบอลข้ามคานออกไป
         ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล มาดุจริงๆโดยเฉพาะเกม 'เพรสซิ่ง' ที่กดดันให้มาดริดตั้งเกมบุกไม่ขึ้นเลย
     
         ทว่าหลังผ่านครึ่งชั่วโมงทางยักษ์จากสเปนมาได้โอกาสดีเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เจ็บจังหวะเบียดกับ เซร์คิโอ รามอส ล้มลงแล้วไหล่ซ้ายกระแทกลงที่พื้นเต็มๆจนลุกไม่ขึ้น จนทีมแพทย์ต้องลงมาปฐมพยาบาล แม้จะลงมาเล่นได้อีกครั้งแต่สุดท้ายเล่นไม่ไหวจริงๆต้องเปลี่ยนตัวออก 
         แม้หลังจากนั้น ดาเนี่ยล การ์บาฆาล แบ็คตัวเก่งจะเจ็บจนต้องถอดออกมาเหมือนกันโดยส่ง นาโช่ ลงมาแทนแต่เทียบความเสียหายแล้วต้องบอกว่าคนละเรื่อง
         เพราะหลังจากที่ไม่มีหัวหอกชาวอียิปต์เกมก็อยู่ในการครอบครองของ เรอัล มาดริด ทั้งหมดเลยเพียงแต่ยังไม่มีประตูเท่านั้น
     
         เปิดครึ่งหลังมา เรอัล มาดริด เกือบได้ประตูจังหวะที่ อดัม ลัลลาน่า ที่ลงมาแทน ซาลาห์ พยายามสกัดบอลแต่มาเข้าทาง อีสโก้ รับส้มหล่นยิงเต็มๆบอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย 
         แต่ เรอัล มาดริด ก็มาได้ประตูแบบเฮงๆ จังหวะที่เหมือนจะไม่มีอะไรเมื่อบอลไปเข้ามือ ลอริส คาริอุส แต่อยู่ดีๆมือกาวหงส์แดงออกบอลทะเล่อทะล่าโดน คาริม เบนเซม่า ที่อยู่ตรงนั้นแหย่ขาเข้าประตูไปหน้าตาเฉย
         ถึงกระนั้น เรอัล มาดริด ก็ยังมาเสียประตูเหมือนกันจากลูกเตะมุม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เปิดเข้ากลาง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โหม่งบอลลอยหน้าประตู ซาดิโอ มาเน่ อาศัยความเร็วปราดตัดหน้า เกย์ลอว์ นาวาส บอลเข้าประตูไป สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้ง
     
         ซีเนอดีน ซีดาน ไม่รอช้าขยับเอา แกเร็ธ เบล ลงมาแทน อีสโก้ และก็กลายเป็นทีเด็ดจังหวะรุกมาทางซ้าย มาร์เชโล่ เปิดบอลเข้าเขตโทษ สตาร์ทีมชาติเวบส์ตีลังกายิงบอลลอยเสียบใค้คานอย่างสวยงาม ส่งเข้าประกวดได้เลย เรียกได้ว่าสวยไม่แพ้ลูกที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สังหาร ยูเวนตุส เลย
         หงส์แดงเกือบตีเสมอได้อีกครั้งเหมือนกัน ซาดิโอ มาเน่ หาข่องกดด้วยซ้ายหน้าเขตโทษบอลพุ่งชนเสาเต็มๆ
         ลิเวอร์พูล พยายามที่จะครองเกมบุกแต่การขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ การขึ้นเกมก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
         เกมมาจบในจังหวะที่ไม่น่าจะมีอะไรเมื่อ แกเร็ธ เบล ลากจากขวายิงไกลบอลตรง ลอริส คาริอุส แต่มือกาวหงส์แดงที่ความมั่นใจพังไปแล้วดันรับบอลลั่นเข้าประตูไปซะอย่างนั้น
     
         ช่วงทดเจ็บ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เงียบตลอดทั้งเกมมาได้บอลในเขตโทษด้านขวาก่อนพยายามหาจังหวะยิง แต่มีแฟนบอลวิ่งลงมาป่วนทำให้กรรมการต้องเป่าหยุดเล่นเอาเจ้าตัวหงุดหงิดเหมือนกัน
         แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ชัยชนะเป็นของ เรอัล มาดริด ที่ป้องกันแชมป์สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 13 และเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกัน
         ถือว่าเกมนี้ เรอัล มาดริด เก่ง+เฮง โดยเฉพาะเรื่องโชคที่เกมนี้ถือว่ามีเต็มๆ
         จริงอยู่อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าหาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่เจ็บโดนเปลี่ยนตัวไปซะก่อน เรอัล มาดริด จะกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่อย่างน้อยเกมก็อาจจะสูสีกว่านี้บ้าง
     
         เมื่อไม่มีสตาร์เบอร์หนึ่งของคู่แข่ง ทัพราชันชุดขาวก็เติมเกมรุกได้โดยไม่ต้องห่วงพะวงอะไร เพราะคนที่เหลืออย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ กลับไม่อาจสามารถประสานงานสร้างอันตรายได้สักเท่าไร
         โดยเฉพาะกองหน้าชาวบราซิลเรียกได้ว่าแทบจะหายไปจากเกม ซึ่งมันทำให้ทีมของ ซีเนอดีน ซีดาน กล้าที่จะดันเกมสูงแบบไม่ต้องห่วงพะวงถึงขนาดนั้น
         เห็นได้ชัดเกือบตลอดเกมว่า วิงแบ็คของ "โลส บลังโกส" กล้าเติมเกมสูงโดยเฉพาะในรายของ มาร์เชโล่ ที่เมื่อไม่มี ซาลาห์ ก็ลุยได้ตามปกติหลังจากที่ช่วงแรกโดนกดจนกระดิกไม่สะดวก 
                คนที่ลงมาเล่นแทนอย่าง อดัม ลัลลาน่า แทบจะไม่เห็นได้บอลเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงว่าช่วยทีมได้แค่ไหน
     
          แม้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะสลับให้ ซาดิโอ มาเน่ สลับฝั่งมากดดันแต่เมื่อบอลแทบจะมาไม่ถึงก็แค่นั้น และเห็นได้ชัดว่าบางครั้งแม้แต่เซนเตอร์อย่าง เซร์คิโอ รามอส ยังแทบจะดันมาอยู่ในเขตโทษ ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ
         บทสรุปสุดท้าย เรอัล มาดริด ก้าวมาครองถ้วยใบนี้อีกครั้ง ถือเป็นการคว้าแชมป์สามปีติดต่อกัน และเป็นแชมป์สมัยที่ 13 แล้ว เรียกได้ว่านี่เป็นทัวร์นาเม้นต์ที่ทัพราชันชุดขาวชอบซะเหลือเกิน
         ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขานี่แหละคือ "จ้าวแห่งยุโรป" อย่างแท้จริง
     
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด