ลิเวอร์พูล ครองบอลมากกว่า 66:34%, สร้างโอกาสยิงประตูมากกว่า 17:8 ครั้ง, เตะมุมมากกว่า 7:3 ครั้ง แต่เรื่องยิงตรงกับเป็นรอง 3:4 ครั้ง 

เป็นเหตุให้ ‘เนฟ’ ยกเหตุผลอันชอบธรรมในการเล่นเพลย์เซฟว่า “ยูไนเต็ด ไม่พร้อมแลกเกมบุกกับทีมระดับคุณภาพอย่าง ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขายังไม่ได้แชมป์ติดมือในยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” 

“ 7 สัปดาห์ก่อนผจก.ทีม ยังมีโอกาสเสี่ยงโดนไล่ออก แต่ 7 สัปดาห์ต่อมาเขาต้องเผชิญเกมที่ยากสุดของฤดูกาลยังแอนฟิลด์ หลายปัจจัยชี้ว่า - -พวกเขายังเป็นทีมที่ด้อยกว่า… งั้นไปสู้เท่าที่ทำได้ -“

“ผมไม่คิดว่าพวกเขาพร้อมปะทะซึ่งๆหน้า เพราะหากวัดกันหมัด-ต่อ-หมัดทีมที่ดีกว่า ทีมแชมป์ย่อมได้เปรียบ แต่ แมนฯ​ยูไนเต็ด ชุดนี้ยังไม่เคยเป็นแชมป์เลย” 

“จึงเข้าใจได้ทำไมพวกเขาไม่บุกแหลก ทั้งนี้มันอาจเป็นไปได้ในการเดินทางของทีมวันข้างหน้า แต่หากดูจากสถานะของทีมเมื่อ 7 สัปดาห์ก่อนนี่ถือว่ามาไกลแล้ว” 

ทำให้ คาร์ราเกอร์ รีบสวนเลยว่าไม่เห็นด้วยเพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด คือแบรนด์ระดับโลก เล่นปอดๆแบบนี้น่าเห็นใจสาวก ‘เร้ด อาร์มี่’ 

https://twitter.com/footballdaily/status/1351252193521885185

“ผมไม่เห็นด้วยเรื่องนั้นเพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่สุดโลก ผู้เล่นมากหน้าได้แชมป์กับสโมสรนั้น คุณกำลังพูดถึงศักยภาพของทีม โดยเอาเรื่องความคิดว่าขุมกำลังชุดปัจจุบันไม่เคยได้แชมป์มาอ้างไม่ได้” 

“คุณกำลังบอกว่า ยูไนเต็ด เป็นทีมขนาดเล็ก แต่ประทานโทษฤดูกาลนี้ไม่ใช่ปีที่พวกเขาห่างกับ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ไกลเป็นโยชน์แล้ว เพราะทั้งคู่อาจกลับมาเครื่องร้อนในฤดูกาลหน้า ดังนั้นนี่คือซีซั่นที่ ยูไนเต็ด ได้ลุ้นแชมป์ลีกมากสุด”

“เพราะอีก 2-3 ปีไม่รู้จะมีโอกาสดีกว่านี้เพื่อเอาชนะที่แอนฟิลด์ไหม แล้วในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า พวกเขาไม่เคยแสดงให้เห็นว่า ยูไนเต็ด คือทีมทรงอำนาจ ผมจึงไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับสิ่งที่ เนวิลล์ พูดมา” 

“คุณกำลังอ้างถึงการเดินทางไปไหนเนี่ย? คุณบอกว่าพวกเขาเล่นบอลแบบสโมสรเล็กทำ แต่นี่คือ แมนฯ ยูไนเต็ด นะ นี่คือทีมที่ยิ่งใหญ่สุดของโลก แล้วดูทรงบอลที่ออกมาสิ” 

ไม่ต้องรอนานสำหรับ ‘แดงเดือด’ ยกสองเพราะรายการ เอฟเอ คัพ รอบสี่ ก็ได้สู้กันแล้ว 24 ม.ค. แต่เปลี่ยนสังเวียนเป็น โอลด์ แทรฟฟอร์ด