แผนการเล่น : 4-4-2

ประตู : ไมเคิล ฟอลเคสการ์ด (แบงค็อก ยูไนเต็ด) 

นายด่านทีมชาติฟิลิปปินส์โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟเยอะมากในเกมบุกเยือน สมุทรปราการ ซิตี้ มีหลายจังหวะที่แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อในการเซฟลูกซ้ำติดๆ กันของเจ้าถิ่น มีส่วนช่วยอย่างมากให้ทีม "แข้งเทพ" แบ่งหนึ่งแต้มออกไปจากถิ่นบางพลี

กองหลัง : ปริญญา อู่่ตะเภา (ชัยนาท ฮอร์นบิล)

"กัปตันปิ่น" บัญชาการเกมรับให้ทีม "นกใหญ่" ได้อย่างเหนียวแน่น รับมือเกมรุกของ สุโขทัย ได้อย่างอยู่หมัด มีจังหวะที่อ่านเกมและเข้าสกัดบอลในจังหวะอันตรายให้เห็นชัดๆ ชนิดเข้าตากรรมการ จนช่วยให้ต้นสังกัดคว้า 3 แต้มสำคัญต่อการอยู่รอดได้สำเร็จ

กองหลัง : โอ บัน ซอค (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

เป็นเกมคุณภาพจริงๆ สำหรับอดีตปราการหลังทีมชาติเกาหลีใต้ ทั้งทำประตูให้ทีมออกนำอย่างรวดเร็ว คลายความกดดัน และยังคุมเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นทั้งลูกกลางอากาศและการอ่านเกมภาคพื้นดิน แนวรุกของ "ปราสาทสายฟ้า" แทบไม่ผ่านด่านหินจากแดนกิมจิรายนี้ไปได้เลย

กองหลัง : ปิยะพล ผานิชกุล (เชียงราย ยูไนเต็ด)

ทำประตูตอกย้ำชัยชนะให้ "กว่างโซ้ง" และยังมีส่วนร่วมทั้งเกมรับ-รุก และการบิวดิ้งอัพเกมจากด้านข้างอยู่เสมอ พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าแม้ในวัยย่าง 32 ปี แต่ "ไดร์" ยังมีคุณภาพและอาจจะดีพอเป็นตัวเลือกสำหรับทีม "ช้างศึก" ในตอนนี้ด้วยซ้ำไป

กองหลัง : ศุภนันท์ บุรีรัตน์ (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

เป็นแมตช์ที่ "เซฟ" ท็อปฟอร์มอีกครั้ง ที่สำคัญนี่คือเกมบิ๊กแมตช์แห่งศักดิ์ศรีซะด้วย  การเติมเกมรุกทางกราบขวาประสานงานกับผู้เล่นแดนกลางและตัวต่างชาติในแนวรุกอย่าง เฮแบร์ตี้ และ แดร์เล่ ดูลื่นตาไปหมด และแน่นอนว่าเกมรับซึ่งเป็นจ็อบหลักก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 

กองกลาง : ศนุกรานต์ ถิ่นจอม (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

ยึดตำแหน่งตัวจริงในทีม "กิเลนผยอง" ได้บ่อยครั้งขึ้นตั้งแต่ที่ กามา เข้ามาคุมทีม และไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวังเพราะการทำงานหนักและเซนส์บอลทั้งการพาสและเคลื่อนที่ รวมถึงเทคนิคเฉพาะตัว ช่วยสร้างสมดุลให้ทีมได้ลงตัวมากๆ เกมนี้มีส่วนกับประตูที่ทีมทำได้และช่วยให้บอลไปถึงแดนหน้าได้อย่างรวดเร็วจากการสร้างสรรค์เกมของเขา

กองกลาง : พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล (เชียงราย ยูไนเต็ด)

ความมั่นใจกำลังเต็มเปี่ยมสำหรับเจ้าของฉายา "ก็องเต้เมืองไทย" หลังจากโชว์ฟอร์มเข้าตากับทีมชาติ นัดนี้ "เต้" มีโอกาสลุ้นรางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล ในจังหวะสับไกด้วยเท้าซ้ายเต็มข้อเสียบสามเหลี่ยมแบบงดงามหมดจด มิดฟิลด์สไตล์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ในเมืองไทยตอนนี้ บอกได้เลยว่าเขายืนหนึ่งมาแน่นอน 

กองกลาง : สตีเว่น ล็องจิล (ราชบุรี มิตรผล)

มีส่วนร่วมกับทั้งสองประตูที่ "ราชันมังกร" ทำได้เหนือ "ฉลามชล" อันตรายเสมอในยามที่มีบอล กระชากลากเลื้อยปั่นป่วนแนวรับคู่แข่งและยังประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้ดี นัดนี้แอสซิสต์ให้ ยานนิค โบลี่ ยิงลูกแรกและเรียกจุดโทษอีกหนึ่งครั้ง ถือเป็นผู้เล่นสำคัญที่ทีมจะขาดไปไม่ได้เลย

กองกลาง : สิโรจน์ ฉัตรทอง (พีที ประจวบ)   

แข็งแกร่งและดุดันในการบุกทะลวงแนวรับคู่แข่ง ใช้ความเร็วโจมตีพื้นที่ริมเส้นปั่นป่วนเกมรับของเชียงใหมครั้งแล้วครั้งเล่า มีจังหวะสวยที่สุดในเกมคือการเลี้ยงพาบอลตัดเข้าในก่อนทำให้ทีมได้ประตูขึ้นนำลูกแรก ฟอร์มแบบนี้ไม่แน่การประกาศรายชื่อทีมชาติครั้งหน้าอาจจะมีเขาอยู่ร่วมด้วยก็เป็นได้

กองหน้า : เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

ยังคงเป็นความหวังสูงสุดในแนวรุกของ "กิเลนผยอง" เช่นเคย นัดนี้สร้างโอกาสในเกมรุกให้ทีมได้เยอะมาก ก่อนยิง 1 และแอสซิสต์อีก 1 ช่วยให้ทีมล้างแค้นพร้อมกระชาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คู่ปรับสำคัญหล่นจากตำแหน่งจ่าฝูงลงได้สำเร็จ 1 ประตูในเกมนี้ทำให้เขาขึ้นไปรั้งรองดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของไทยลีกที่จำนวน 115 ประตูเท่ากับ ธีรศิลป์ แดงดา แล้ว

กองหน้า : วิลเลียม เฮนริเก้ (เชียงราย ยูไนเต็ด)

โดดเด่นบนฟลอร์หญ้าตลอด 90 นาที ในการกระชากลากเลื้อยป่วนแนวรับของ ตราด ฉีกเป็นชิ้นๆ มีส่วนร่วมกับ 2 ประตูที่ทีมทำได้ ยามที่บอลอยู่กับเท้าของเขา ด้วยความเร็วและความคล่องตัว หาใครในไทยลีกหยุดแข้งบราซิเลียนรายนี้ยากเหลือเกิน ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขา ช่วยพาให้ทีม "กว่างโซ้ง" ทะยานขึ้นจ่าฝูงในช่วงโค้งสุดท้ายไทยลีกได้สำเร็จ

เฮดโค้ช : อเล็กซานเดร กามา (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

กุนซือเลือดแซมบ้า พา เมืองทอง ล้ม บุรีรัมย์ ได้สำเร็จ นัดนี้วางเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนลูกทีมคุมเกมได้เหนือกว่า บุรีรัมย์ อดีตสังกัดเก่าตลอดทั้ง 90 นาที ทุกพื้นที่ในสนาม "กิเลนผยอง" คอนโทรลเกมได้ทั้งหมดอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ต้องยอมรับเลยว่าเขาคือสุดยอดกุนซือต่างชาติคนหนึ่งในไทยลีกเลยทีเดียว