นีซ เจ้าถิ่นวาง แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก เป็นตัวปั้นเกม ส่วน เปแอสเช เจ้าถิ่นมี อังเคล ดิ มาเรีย, เมาโร อีการ์ดี้ และ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ลุยเกมรุกร่วมกัน เอดิสัน คาวานี่ กับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาเป็นเพียงสำรอง

เริ่มเกมมาเพียง 15 นาที เปแอสเช ขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะโต้กลับที่ อีการ์ดี้ ตวัดบอลตรงกลางสนามให้ ดิ มาเรีย หลุดล้ำหน้าเลี้ยงบอลเข้าเขตโทษก่อนเลือกมุมยิงอย่างเลือดเย็น

อีก 6 นาทีถัดมา เปแอสเช หนีเป็น 2-0 โธมัส เมอนิเย่ร์ เปิดบอลโด่งเข้าเขตโทษฝั่งขวา ดิ มาเรีย ตามไปเล่นจนเกือบสุดเส้นอยู่แล้วแต่โชว์ความเหนือชั้น ดีดบอลมุมแคบข้ามหัว วอลเตอร์ เบนิเตซ นายทวารเจ้าถิ่นเข้าไปอย่างสุดสวย และจบครึ่งแรกที่สกอร์นี้

ครึ่งหลังนาที 67 นีซ มาได้ประตูตีไข่แตกจากจังหวะที่แนวรับเปแอสเชเคลียร์บอลไม่ขาด แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก สะกิดต่อให้ อิกนาเชียส กานาโก้ ยิงด้วยขวาในเขตโทษเข้าไปเป็น 2-1

จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเกิดขึ้นในในช่วง 15 นาทีสุดท้ายเมื่อ วีลัน ซีเปรียง ของนีซโดนใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงหลังไปพูดบางอย่างไม่เหมาะสมใส่ผู้ตัดสิน และพอผู้ตัดสินไปเช็กวีเออาร์กลับเห็นอีกเหตุการณ์เพิ่มเติมที่ คริสโตฟ เอแรลล์ ใช้มือตบหน้าผู้เล่นทีมเยือน จึงได้ใบแดงอีกราย กลายเป็นว่าเหลือผู้เล่นเพียง 9 คะแนนจากเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน

ท้ายเกมนาที 82 เปแอสเช ส่ง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลงมาเป็นสำรองและเพียง 5 นาทีในสนามก็สามารถทำประตูได้เลยจากจังหวะซ้ำดาบสองลูกยิงของ ดิ มาเรีย ที่ติดบล็อกในตอนแรก และจากนั้นช่วงทดเจ็บ เอ็มบั๊ปเป้ ก็ทำแอสซิสต์ได้ด้วยเมื่อหลุดเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนเปิดให้ อีการ์ดี้ ยิงโล่งๆ เข้าไปเป็น 4-0

ชัยชนะนัดนี้ทำให้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เก็บเพิ่มเป็น 24 คะแนน เป็นจ่าฝูงต่ออีกสัปดาห์แน่นอน และนำห่างคู่แข่งอย่างน็องต์เป็น 5 คะแนนแล้ว