รอบคัดเลือก ยูโร 2020 สิ้นสุดอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน โดยที่ทีมชาติเวลส์เป็นชาติสุดท้ายที่ตีตั๋วเข้ารอบหลังเปิดบ้านเอาชนะทีมชาติฮังการี 2-0 และจบอันดับ 2 ของกลุ่ม อี

เวลส์ กลายเป็นชาติที่ 20 ที่เข้ารอบต่อจาก เบลเยียม, อิตาลี, รัสเซีย, โปแลนด์, ยูเครน, สเปน, อังกฤษ, สาธารณรัฐเช็ก, ฝรั่งเศส, ตุรกี, ฟินแลนด์, สวีเดน, โครเอเชีย, ออสเตรีย, ฮอลแลนด์, เยอรมัน, โปรตุเกส, สวิตเซอร์แลนด์ และ เดนมาร์ก 

ส่วนอีก 4 ทีมในรอบเพลย์ออฟที่จะแข่งขันในเดือนมีนาคมปีหน้า จะคัดจาก 16 ทีมที่มีผลงานดีสุดในรายการยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก และไม่ได้อยู่ใน 20 ทีมที่ผ่านรอบคัดเลือกยูโร  2020 โดยอัตโนมัติ 

16 ทีมที่จะต้องไปลุ้นในช่วงเพลย์ออฟ ประกอบด้วย ไอซ์แลนด์, บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวีน่า, สโลวาเกีย, ไอร์แลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ, สกอตแลนด์, นอร์เวย์, เซอร์เบีย, บัลแกเรีย, อิสราเอล, ฮังการี, โรมาเนีย, จอร์เจีย, นอร์ธ มาซิโดเนีย, โคโซโว และ เบลารุส

การแข่งขันในรอบเพลย์ออฟจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม จับสลากประกบคู่รอบรองฯ แข่ง 2 นัดเหย้า-เยือน ผู้ชนะไปเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ และทีมชนะเลิศของทั้ง 4 กลุ่มจะคว้าตั๋ว 4 ใบสุดท้ายสู่ยูโร 2020

สรุปการจัดทีมวางก่อนจับสลาก

โถ 1 : อิตาลี, อังกฤษ, เบลเยียม, สเปน, ยูเครน, เยอรมัน

โถ 2 : ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, โครเอเชีย, โปแลนด์, รัสเซีย, ฮอลแลนด์

โถ 3 : โปรตุเกส, ตุรกี, เดนมาร์ก, ออสเตรีย, สวีเดน, สาธารณรัฐเช็ก

โถ 4 : ฟินแลนด์, เวลส์ และ 4 ทีมจากรอบเพลย์ออฟ

ทั้งนี้ การแข่งขันในรอบสุดท้ายที่เพิ่มทีมจาก 16 ทีมเป็น 24 ทีม จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม ปี 2020 และจัดขึ้นใน 12 เมืองของ 12 ประเทศเพื่อฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 

 
20 ทีมที่เข้ารอบอัตโนมัติ