:::     :::

เรื่องเพ้อฝัน

วันพุธที่ 04 กรกฎาคม 2561 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
2,777
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เฮดังสนั่นเมืองกันเลยทีเดียวสำหรับกองเชียร์สิงโตคำราม

    ตัวผมเองก็ต้องบอกตามตรงว่าปันใจให้กับอังกฤษตั้งแต่แรกเจอ

    มันไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่ง ไม่ใช่เพราะเล่นสวย ไม่ใช่เพราะประสบความสำเร็จ ที่ว่ามามันแทบจะตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เชียร์ก็เพราะมันมีนักเตะลิเวอร์พูลอยู่ในทีม

    คือเราเชียร์หงส์แดงมาตั้งแต่ตัดสินใจทิ้งการ์ตูนเพื่อดูบอลครั้งแรกตามพ่อ พ่อเชียร์ลิเวอร์พูล กูก็เอาวะ...เชียร์แม่มไอ้ทีมนี้แหละ

    ต่อมาเห็นนักเตะเกือบค่อนทีมติดทีมชาติอังกฤษ เราก็เชียร์มันอังกฤษนี่แหละ และทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ดูแบบจริงๆ จังๆ ก็คือบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส

    บทลงเอยก็คือแพ้จุดโทษให้กับอาร์เจนตินาในรอบ 8 ทีม ลูกยิงของ พอล อินซ์ กับ เดวิด แบ็ตตี้ ที่อ่อนหัดจนโดน การ์ลอส โรอา เซฟได้สบายยังจำติดตาจนถึงทุกวันนี้เลย

    จากนั้นเราก็พอจะรู้ถึงชื่อเสียงในด้านลบเรื่องของจุดโทษกับทีมชาติอังกฤษมาโดยตลอด ไล่มาตั้งแต่ยูโร 2004 บอลโลก 2006 และยูโร 2012 พวกเขาก็ตกรอบจากการดวลเป้า

    จำได้ว่าตั้งแต่ดูฟุตบอลมายังไม่เคยเห็นทีมชาติอังกฤษเอาชนะช่วงดวลจุดโทษได้มาก่อนเลย

    เท่ากับว่าชัยชนะเหนือโคลอมเบียจากการยิงจุดโทษด้วยสกอร์ 4-3 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 นั้นคือครั้งแรกที่พวกเขาได้เฮในบอลโลก

    แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น อันที่จริงลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ควรจะเช็กบิลทีมจากอเมริกาใต้ได้ตั้งแต่ในเวลา 90 นาทีแล้วด้วยซ้ำ

    โชคชะตาเหมือนเล่นตลก ทดเจ็บ 4 นาที ดันมาเสียเตะมุมแรกของเกมในนาทีที่ 93 และ เยร์รี มีน่า ก็โขกเข้าประตูไป

    ใครจะเชื่อว่าแนวรับร่างยักษ์จาก บาร์เซโลน่า จะก้าวมาเป็นดาวซัลโวทีมของ โฮเซ่ เปร์เกมัน ในบอลโลกหนนี้ เขาทำไป 3 ประตู ซึ่งนั่นมาจากลูกโหม่งล้วนๆ

    ว่ากันด้วยรูปเกมนัดนี้ ทัพสิงโตเหนือกว่าพอสมควร บางคนบอกเหนือกว่าตรงไหนวะ... เล่นโคตรน่าเบื่อ แต่นั้นมันเป็นแท็คติกของโคลอมเบียด้วย

    โคลอมเบียวางหมากมาอย่างรัดกุมในวันที่ไม่มี ฮาเมส โรดริเกซ ตรงนี้ถือว่าส่งผลเสียหายเยอะ เพราะจะให้ ฮวน กินเตโร่ ปั้นเกมกลางสนามก็เหมือนกันอย่างเดียวตรงที่ถนัดเท้าซ้าย ส่วนคุณภาพคนละตรีน

    ตลอด 90 นาทีโคลอมเบียแทบไม่ได้สร้างความหนักใจอะไรให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด ได้เลย นอกจากลูกยิงในช่วงทดเจ็บของ มาเตอุส อูริเบ ที่ต้องบินปัดซึ่งเป็นที่มาของประตูตีเสมอ

    เปร์เกมัน เผยหลังเกมว่านักเตะอังกฤษเอาแต่ถ่วงเอาแต่พุ่งล้ม เอะอะ เอะอะ ก็ล้ม แต่เทรนเนอร์วัยดึกคงอาจจะลืมดูลูกทีมตัวเองว่าไม่ได้ต่างกันเลย แถมเข้าบอลแต่ละดอกนี่แรงๆ ทั้งนั้น

    หากไม่นับถึงความผิดพลาดในลูกที่เสียประตูก็ต้องชื่นชมแนวรับของทัพสิงโตคำรามเหมือนกันที่ทำได้ดีถึงดีมาก พวกเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้ ราดาเมล ฟัลเกา ได้โชว์ของเลย

    จอห์น สโตนส์ ถือว่ากลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ถูกที่ถูกเวลา หลังออกทะเลไปนานกับ แมนฯ ซิตี้ ทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บ รวมถึงฟอร์มตกจนไม่มีตำแหน่งตัวจริงในทีมเรือใบ

    แต่จะหาใครที่เด่นจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เซนเตอร์แบ็กจาก เลสเตอร์ ที่แจ้งเกิดในทัวร์นาเมนต์นี้ได้อย่างเต็มตัว จนขนาดที่อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษอย่าง มาร์ติน คีโอวน์ นำเจ้าตัวไปเปรียบเทียบกับ บ็อบบี้ มัวร์ ตำนานแนวรับผู้ชูถ้วยแชมป์โลกในปี 1966 โน่นเลย

    ที่ยิ้มสุดคงหนีไม่พ้นต้นสังกัดอย่างทัพจิ้งจอกที่หากจำต้องขายคงได้กำไรมากโขหลังจากจ่ายเงินไป 17 ล้านปอนด์คว้ตัวเขามาจากทีมตกชั้นอย่าง ฮัลล์ ซิตี้ เมื่อ 2 ปีก่อน

    แม้ว่ากันตามตรง แม็กไกวร์ จะยังคงใหม่ในเวทีระดับนานาชาติเพราะเพิ่งจะลงเล่นทีมชาติไปเพียงนัดที่ 9 แต่ก็ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    มันผิดเพี้ยนกับ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่น่าจะประคองรุ่นน้อง แต่ดันกลายเป็นบ่อเสียเอง ทว่าเขาดันเป็นคนที่ เซาธ์เกต ชื่นชอบไปแล้วเนี่ยสิ

    ส่วน แฮร์รี่ เคน ที่ใครหลายคนตั้งข้อสงสัยกับการเล่นทีมชาติว่ายังไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตอนนี้คงหายข้องใจกันหมดแล้ว

    ตอนนี้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูได้ 6 นัดติดต่อกันจากการลงเล่นให้ทัพสิงโต ตั้งแต่ที่ ทอมมี่ ลอว์ตัน ทำไว้ซึ่งต้องย้อนกลับไปถึงปี 1939

    และในบอลโลกหนนี้ เคน กดไปแล้ว 6 ประตู ซึ่งมีโอกาสมากเลยเกินที่จะคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาครองได้ในท้ายที่สุดหากไม่ชิงกลับบ้านไปเสียก่อน และ 6 เม็ดที่ว่ามานี้เกิดจากการยิงตรงกรอบเพียงแค่ 6 ครั้ง โอ้ววว... แม่เจ้า มันจะคมอะไรขนาดนั้น นั่นมัน 100% เลยนะน่ะ

    วกกลับมาที่เรื่องจุดโทษกันหน่อย พอเห็น 120 นาทียังเสมอกัน กองเชียร์สิงโตคงต้องมีกุมหัวกันบ้าง แม้ว่า เซาธ์เกต จะยืนยันมั่นเหมาะว่าพวกเขาได้ซ้อมกันมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ไอ้พวกทัวร์นาเมนต์ก่อนหน้านี้ที่ตกรอบช่วงดวลเป้ามันก็บอกว่าซ้อมมาทั้งนั้น

    แต่คราวนี้มันแตกต่างไปจากเดิม

    พวกเขาดูมั่นใจ ดูเฉียบคม ไล่มาตั้งแต่ เคน, มาร์คัส แรชฟอร์ด, คีแรน ทริปเปียร์ และปิดฉากที่ เอริก ดายเออร์ แม้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะพลาด แต่ก็ใช่เขายิงไม่ดี บอลที่ออกจากเท้ามันเข้ามุมดิก แต่ ดาวิด ออสปิน่า ดันเซฟได้อย่างยอดเยี่ยมต่างหาก

    ยังดีที่คนอื่นมันยิงกันคมกริบเข้ากันหมด แถม พิคฟอร์ด ก็มีเซฟลูกซัดของ การ์ลอส บักก้า ไว้ได้ ไม่งั้นแพะตัวโตคงหนีไม่พ้นกัปตันหงส์แดงแน่

    เสร็จสิ้นการดวลเป้าจบที่สกอร์ 4-3 เออ... เชื่อแล้วว่ามันซ้อมกันมาจริง

    จากนี้ไปพวกเขาก็จะต้องโฟกัสถึงเกมกับสวีเดน

    หลายคนอาจมองว่าง่าย แต่ขอบอกว่าสถิติอังกฤษพบทีมไวกิ้งนี้โคตรห่วยแตก เจอทีไรเป็นโดนตลอด แล้วสวีเดนชุดนี้เหมือนม้านอกสายตาที่กรุยทางเข้ามาอย่างน่าเซอร์ไพรส์ บอลแบบนี้เรียกได้ว่ากำลังห้าว

    แต่อย่ากลัวไปเลย

    เกมล่าสุดอังกฤษไม่ใช่แค่ชนะโคลอมเบียผ่านเข้ารอบมาเฉยๆ ทว่าพวกเขายังล้างอาถรรพ์เรื่องจุดโทษชนะใจตัวเองได้สำเร็จแล้ว

    ไม่แน่ว่าเรื่องแชมป์โลกที่เคยโม้กันมากว่าชาติครึ่ง

    อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    พาสต้า


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด