:::     :::

เมื่อ "ผีแดง" หลับใหล ... ใครเล่าจะมาปลุก?

วันจันทร์ที่ 01 ตุลาคม 2561 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
4,676
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จากทีมที่มีรูปแบบการเล่นที่สนุกสนาน ปลุกเร้าอารมณ์แฟนบอลจนเสียงเพลง Glory Glory man United กระหึ่มไปทั่วสนาม สีหน้าและแววตาของทุกคนมีความสุข ตื่นเต้น แม้ว่าจะ แพ้ ชนะ หรือ เสมอ แต่ก็คุ้มค่าที่จะได้ดู แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นทรงบอลที่ไร้อารมณ์ สภาพทีมดูไม่มีความเข้าใจกันเลยแม้แต่น้อย ทั้งระหว่างนักเตะด้วยกันเอง หรือ นักเตะกับโค้ช ทุกวันนี้ ภาพจำเก่าๆ เลือนรางลงทุกที

ผลการแพ้สองนัดรวดทำเอาแฟนผีต้องจุกอกระทมใจ

หากใครเป็นแฟน “ปีศาจแดง” ชนิดเข้าเส้น จะรู้ดีว่าชัยชนะ คือความสุขที่สำคัญเหนืออื่นใด มันไม่ใช่แค่สามแต้มเต็ม แต่หมายรวมไปถึงความครื้นเครงที่ได้เห็นทีมรักบรรเลงเพลงแข้งใส่คู่แข่งแบบสนุกเท้า โหมกระหน่ำบุกตลอด 90 นาที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน โอลด์แทรฟฟอร์ด ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนที่ก้าวเท้าเข้ามาเยือนต้องคิดหนัก เพราะนี่คือโรงละครแห่งความฝันของเหล่าสาวกปีศาจแดง

แต่สำหรับเวลานี้ไม่ใช่ ...

นับตั้งแต่หมดยุคของบรมกุนซืออย่าง “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ทีมดูเสียทรงบอลไปแทบจะทันที ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงอ้วนฉุวิ่งไม่ไหว จะเปรียบกับเครื่องยนต์ก็คงจะเก่าคร่ำครึเต็มทน ทั้งที่รากฐานที่ป๋าเฟอร์กี้วางไว้ดูมั่นคง ถาวรเสียด้วยซ้ำ

ทั้งรูปแบบของทีมที่สนุกเร้าใจ และสามารถรีดเร้นศักยภาพนักเตะเกรด บี หรือ ซี ออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบอคาเดมีที่ผลิตนักเตะเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง แมวมองที่สรรหานักเตะคุณภาพมาเสริมทัพ แต่ไฉนเลยถึงได้พังครืนไม่เป็นท่า


ไล่เรียงรายชื่อคนกล่อมยักษ์ให้หลับมาตั้งแต่ "เดวิด มอยส์" กุนซือรุ่นแรกที่เข้ามาสานต่อเจตนารมย์ของเฟอร์กูสันในช่วงปี 2013-14 โดยได้รับความไว้แน่เชื่อใจจากเฟอร์กี้ว่าคนนี้นี่แหละที่จะพาแมนฯยูไนเต็ดถึงฝั่งฝัน เป็น "ชายผู้ถูกเลือก"

แต่ก็อย่างที่ทราบกัน ... ล้มไม่เป็นท่า เพราะเพียงแค่ฤดูกาลเดียวมอยส์ก็กระเด็นตกเก้าอี้

ในฤดูกาลถัดมาชื่อของ “หลุยส์ ฟาน กัล” กลายมาเป็นแรงกระตุ้นให้แฟนแมนฯยูไนเต็ดกลับมามีพลังและแรงเชียร์อีกครั้ง ด้วยชื่อชั้นที่สั่งสมบวกกับประสบการณ์ระดับนานาชาติ และสโมสร ต้องบอกว่าเหนือกว่ามอยส์ทุกกระเบียดนิ้ว

ผลงานที่ฝากไว้ที่ อาลิอันซ์ อารีน่า นำ “บาเยิร์น มิวนิค” เถลิงแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมันเป็นเครื่องการันตีชีวัดความสามารถของฟานกัลได้เป็นอย่างดี

แต่สุดท้ายก็เหมือนหนังม้วนเดิม ฟานกัล กลายเป็นอีกหนึ่งความขัดเคืองของแฟนๆ ผีแดงที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังได้รับคำว่า “ปรัชญา” มาเป็นของแถมที่ไม่อยากจะได้


ลองย้อนกลับไปคิดภาพ “ฟิล โจนส์” เตะมุมดู แล้วจะเข้าใจหัวจิตหัวใจ แฟนผีแดงในเวลานั้นเลยทันที ว่าคำว่า “ปรัชญา” มันเจ็บปวดขนาดไหน

กระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคของ "มูรินโญ่" กุนซือระดับซุปเปอร์สตาร์ ผลงานดีเยี่ยม ผ่านการคุมทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปมามากโข สร้างผลงานระดับมาสเตอร์ พีซ เอาไว้หลายครั้ง

เป็นที่หมายมั่นของเหล่า เรด อาร์มี่ ว่าจะพาแมนยูกลับมาเถลิงแชมป์อีกครั้ง..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ คือ ความดุดัน กระหายชัยชนะ ดูจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัด จากทีมที่มีรูปแบบการเล่นที่สนุกสนาน ปลุกเร้าอารมณ์แฟนบอลจนเสียงเพลง Glory Glory man United กระหึ่มไปทั่วสนาม สีหน้าและแววตาของทุกคนมีความสุข ตื่นเต้น แม้ว่าจะ แพ้ ชนะ หรือ เสมอ แต่ก็คุ้มค่าที่จะได้ดู  

แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นทรงบอลที่ไร้อารมณ์ สภาพทีมดูไม่มีความเข้าใจกันเลยแม้แต่น้อย ทั้งระหว่างนักเตะด้วยกันเอง หรือ นักเตะกับโค้ช

ภาพจำเก่าๆ เลือนรางลงทุกที


อะไรคือสิ่งที่แมนฯยูไนเต็ดทำหล่นหายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ?

หากจะหยิบยกระบบการเล่นมาเป็นตัวชี้วัดความเปลี่ยนแปลงภายในทีมแมนฯยูไนเต็ดตั้งแต่ในช่วงที่เฟอร์กูสันยังกุมบังเหียน 4-4-2 คือสูตรสำเร็จที่เฟอร์กี้เลือกใช้ การส่งกองหน้าลงเล่นคู่กันในกรอบเขตโทษของคู่แข่งมันเป็นเหมือนการเพิ่มตัวเลือกในการเข้าทำประตู ไม่โดดเดี่ยวหรืออ้างว้างหมายสไตล์ฟุตบอลสมัยใหม่ที่มักเลือกใช้กองหน้าเพิ่งคนเดียว

ข้อดีของการมีกองหน้าคู่จะทำให้แผงหลังฝั่งตรงข้ามเกิดความละล้าละลังในการประกบ ยิ่งเป็นกองหน้าที่เล่นต่างสไตล์กันแล้วด้วยนั้นยิ่งทำให้การจับทางบอลนั้นยากเข้าไปอีกเท่าตัว

เพราะอย่างที่เห็นช่วงนึงหลังป๋าลองปรับมาเป็นหน้าเดี่ยวในระบบ 4-5-1 อัดแผงกลางเพิ่ม (ในช่วงที่เวรอนย้ายมา) ก็เห็นได้ว่าไม่เวิร์ค จนมาได้สูตรใหม่ในช่วงหลังเป็น 4-3-3 อัดแนวรุกด้านข้างขนาบหน้าเป้าเพื่อโจมตีคู่แข่งแบบต่อเนื่อง


ที่แผงกลางก็เช่นกัน การมี "ป๊อกบา" อยู่ในทีมเป็นเรื่องวิเศษเพราะเขาคอยบัญชาเกมแดนกลางและคุมจังหวะการขึ้นเกมรุกจากหลังไปหน้า ทักษะการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมบวกกับมันสมองในการผ่านบอลแบบได้เสีย ทำให้ชั่วโมงนี้แมนฯยูไนเต็ดขาดป๊อกบาไม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือคู่มิดฟิลด์ตรงกลางที่สามารถเล่นด้วยกันได้ต่างหาก

ยามใดที่ "ป๊อกบา" เล่นบอลไม่ถนัด ถูกรุมประกบเข้าเร็วจากฝั่งตรงข้าม กลับไม่มีมิดฟิดล์คนใดในทีมที่จะแบ่งเบาภาระนั้นได้เลย เนื่องจากเซนส์บอลไม่ทันกัน

ถ้าตอนนี้ยังมีนักเตะแบบ พอล สโคลส์ หรือ รอย คีน ไม่แน่ว่าผลงานในสนามอาจจะดีขึ้นกว่านี้

อีกปัญหาที่แมนฯยูไนเต็ดประสบในตอนนี้คือคู่เซนเตอร์ที่ไม่ปึ้กเหมือนเมื่อก่อน

หลายต่อหลายเกมที่เดวิด เดเคอา นายด่านเครางาม เป็นผู้แบกภาระหนักอึ้งในเกมรับไปโดยปริยาย เพราะคู่เซนเตอร์ไม่สามารถเชื่อใจได้เลยแม้แต่น้อย ออกลูกเหวอให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้แมนฯยูเองเคยได้ขึ้นชื่อว่าทีมที่มีปราการหลังสุดแกร่งอย่าง ริโอ เฟอร์ดินาน และ เนมันย่า วิดิช

แต่ ณ.ตอนนี้กลายเป็นบ่อน้ำมันให้กองหน้าคู่แข่งขุดเจาะเป็นว่าเล่นแม้ว่ามูรินโญ่จะถนัดในการเล่นเกมรับที่รัดกุม แต่มันใช้ไม่ได้กับสองคู่หูอย่าง คริส สมอลลิ่ง และ ฟิล โจนส์ 

คู่แข่งทำเกมบุกเข้ามาป้วนเปี้ยนหน้าเขตโทษที่ไร แฟนบอลผีแดงหายใจไม่ทั่วท้องเสียทุกที


อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิ่งที่ทำให้แฟนบอลอึดอัดคับใจที่สุดคือ “สไตล์การเล่น” ที่แฟนแมนฯยูบ่นอุบว่ารูปเกม “น่าเบื่อ”  ทั้งที่ชื่อชั้นตัวผู้เล่นเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่กลับพ่ายแพ้สองนัดรวดกับทีมที่น่าจะเก็บแต้มได้

ไม่ใช่แค่แฟนบอลที่ปวดหัวกับแท็คติกแบบนี้ ขนาดนักเตะอย่าง ป๊อกบา ยังส่ายหน้า และกล้าออกมาวิจารณ์นายของตัวเองจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกันลงตัวแล้วหรือยัง

แต่ที่แน่ๆ มันเป็นรอยบาดหมางในใจกันไปแล้ว


ถึงขนาดนัดล่าสุดหลายคนถึงกับตั้งคำถามที่ไม่น่าถามกันว่า “เล่นไล่โค้ชหรือไม่?” 

เพราะชั่วโมงนี้ต้องยอมรับความจริงว่าแมนฯยูในตอนนี้พร้อมที่จะพลาดท่าให้กับทุกทีม นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาในการบริหารจัดการเรื่องการซื้อตัวนักเตะของ "เอ็ด" รวมทั้งบอร์ดบริหาร เป็นอีกหนึ่งมรสุมที่ถาโถมเข้ามาในตอนนี้

แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งในทีมฟุตบอลที่ แฟนบอล มีเงินทุนมากที่สุดทีมหนึ่งของโลก ปีศาจแดงที่แฝงอยู่ในสัญลักษณ์สโมสรอาจจะยังหลับใหล เพียงรอวันที่ใครสักคนปลุกขึ้นมา 

วันนั้นนั่นแหละเชื่อว่า แมนฯยูไนเต็ดจะกลับมาผงาดง้ำค้ำโลกอีกครั้ง ด้วยเกมรุกสุดสะเด่า พร้อมโขยกขยี้ทุกทีมที่เข้ายังโรงละครแห่งความฝัน และพร้อมบุกตะลุยในทุกสนาม อีกทั้งยังให้อิสระในการบริหารจัดการแก่ผู้จัดการทีมอย่างเต็มที่เหมือนอย่างยุคของ ป๋า

ว่าแต่ใครล่ะจะมาปลุกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา?

จะเป็นตัว "จ่ามู" เองที่พลิกสถานการณ์กลับมาได้ หรือจะเป็นคนอื่น

เรื่องนี้ต้องคอยดูกันต่อไป

แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด