:::     :::

ฟุตบอลโลก, แชมเปี้ยนส์ ลีก และ บัลลง ดอร์

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,565
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในฐานะนักฟุตบอลถ้าให้ได้เลือกกันระหว่างแชมป์ฟุตบอลโลก, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ รางวัลบังลง ดอร์ ถามว่า คุณจะเลือกแบบไหน
         ถ้าคุณเป็นพ่อค้าแข้งก็คงจะเป็นคำตอบที่ยากเหมือนกัน แม้จะไม่ถึงขั้นว่าเป็นคำถามโลกแตกว่า "ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน" แต่มันก็คือเกียรติยศที่ครั้งหนึ่งในชีวิตคนที่เป็นนักเตะอยากได้มาไว้ในครอบครองไม่ว่ารางวัลใดรางวัลหนึ่ง
         ฟุตบอลโลก คือถ้วยที่ได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ได้ยากที่สุดเพราะสี่ปีแข่งกันครั้งเดียว และพึ่งพาตัวเองคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีมคอยช่วยเหลือด้วย
         เช่นเดียวกับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งถือเป็นโทรฟี่ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการแข่งขันระดับสโมสร ปัจจัยเดียวกัน คือนอกจากความเก่งกาจของตัวเอง เพื่อนร่วมทีม กุนซือ และสภาพแวดล้อมหลายๆอย่างก็ต้องเป็นจัยให้ด้วย
         หรือบัลลง ดอร์ รางวัลพิเศษที่มีให้กับนักฟุตบอลที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในแต่ละปี แต่การจะเล่นได้อย่างสุดยอดอย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อนช่วยปั้นกันบ้าง

        สุดยอดนักเตะของโลกในยุคปัจจุบันอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ อาจจะทำได้สำหรับแชมเปี้ยนส์ ลีกและบัลลง ดอร์ แต่ถ้วยฟุตบอลโลกเขาทั้งคู่ยังไม่เคยได้มาครอบครอง
         กระทั่ง ดีเอโก้ มาราโดน่า ในช่วงที่พีคสุดขีดพา อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกปี 1986 ก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันกับถ้วยยุโรปหรือรางวัลบัลลง ดอร์
         ล่าสุดกับ ลูก้า โมดริช ที่คว้ารางวัลบัลลง ดอร์มาครองหมาดๆ ก็คว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองแล้ว เพียงแต่พลาดไปกับตำแหน่งแชมป์โลก
         ลองคิดดูว่าในโลกนี้มีนักฟุตบอลที่เคยกวาดมาทั้งสามรางวัลที่กล่าวมาข้างต้นรึเปล่า
         ตอบได้เลยว่ามี และมีไม่น้อยทีเดียว 
         วันนี้จะพาไปพบกับ 8 เทพที่เคยกวาดทั้งฟุตบอลโลก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (หรือ ยูโรเปี้ยน คัพ) และ บัลลงด์ ดอร์ ให้ได้รู้จักกัน
ชื่อ : เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน
แชมป์โลก : ปี 1966 (ชาติอังกฤษ)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 1968 (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
บัลลง ดอร์ : ปี 1966

         ตำนานที่ยังมีชีวิต หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิคด้วยวัยเพียง 20 และเกือบที่จะเลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว
         แต่ด้วยความที่อายุยังน้อย เส้นทางยังอีกยาวไกล เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน กลับมาค้าแข้งและเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่พา "ปีศาจแดง" ฟันฝ่าอุปสรรคจนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนวจลูกหนังของอังกฤษ
         หลังกลับมาพาทีมคว้าแชมป์ลีกรวมถึงเอฟเอ คัพ ในที่สุดก็พาทีมประสบความสำเร็จในเวทียุโรปด้วยการพาทีมเอาชนะ เบนฟิก้า 4-1 คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครอง ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่ทำได้ด้วย
         ถือเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดมาจากปี 1966 ที่ ชาร์ลตัน นำพาทีมชาติอังกฤษผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวจนถึงทุกวันนี้มาครอง ซึ่งเจ้าตัวคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์มาครองด้วย
         เท่านั้นไม่พอในปีเดียวกันนี้เอง เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน คว้ารางวัลบัลลง ดอร์มาครองได้สำเร็จ
ชื่อ : แกร์ด มุลเลอร์
แชมป์โลก : ปี 1974 (เยอรมันตะวันตก)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 1974, 1975, 1976 (บาเยิร์น มิวนิค)
บัลลง ดอร์ : ปี 1970

         หนึ่งในดาวยิงที่เก่งที่สุดในโลกในยุคของตัวเอง ซึ่งฉายา "แดร์ บอมเบอร์" หรือ "ไอ้ตีนระเบิด" ไม่ได้มาเพราะโชคอย่างแน่นอน
         อดีตกองหน้าของ บาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติเยอรมนีตะวันตก ที่สร้างชื่อขึ้นมาในการค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค โดยตลอดเส้นทางอาชีพกับสโมสรมี นอร์ดลิงเก้น, บาเยิร์น และ ฟอร์ท เลาเดอร์เดล เขาทะลวงตาข่ายกระจุย 653 ลูกจากการลงเล่น 707 เกม
         ในช่วงที่พีคสุดขีด มุลเลอร์ พาทัพ "เสือใต้" ผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพถึง 3 สมัยติดต่อกันในช่วงปี 1974-76 ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาก็โชว์ฟอร์มเยี่ยมตลอดยิงประตูทะลุหลัก 10 ลูกขึ้นมาตลอดกับการค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค
         ซึ่งความยอดเยี่ยมกับสโมสรนั้นต่อยอดไปถึงในศึกฟุตบอลโลก 1974 ที่ยิง 4 ประตูช่วยให้ทีม เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงประตูชัยในรอบชิงชนะเลิศด้วย
         ส่วนกับรางวัลบัลลง ดอร์ เจ้าตัวได้มากครองในปี 1970 โดยได้รับคะแนนโหวตเฉือน บ๊อบบี้ มัวร์ ของทีมชาติอังกฤษเพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้น
ชื่อ : ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวเออร์
แชมป์โลก : ปี 1974 (เยอรมันตะวันตก)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 1974, 1975, 1976 (บาเยิร์น มิวนิค)
บัลลง ดอร์ : ปี 1972, 1976

         หนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก และกองหลังที่ดีที่สุดเท่าที่ทีมชาติเยอรมันเคยมีมาเลยทีเดียว
         ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวเออร์ เริ่มต้นออาชีพลูกหนังกับ บาเยิร์น มิวนิค ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นยอดแข้งระดับโลกและมีความสำเร็จในระดับที่ใครยากจะเทียบชั้นได้โดยเฉพาะในแง่ความสำเร็จของถ้วยรางวัลที่คว้าแชมป์ลีกกับทีม 4 สมัย และเป็นหนึ่งในขุนพลชุดเดียวกับ แกร์ด มุลเลอร์ ที่พาทีมคว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน
         แน่นอนว่ามันรวมถึงทีมชาติเยอรมันตะวันตกชุดแชมป์โลกในปี 1974 ที่ "อินทรีเหล็ก" เป็นเจ้าภาพ โดยในรอบชิงชนะเลิศเอาชนะ ฮอลแลนด์ 2-1
         สำหรับรางวัลบัลลง ดอร์เจ้าตัวก็ได้มาครอบครอง 2 หน ครั้งแรกในปี 1972 ที่ได้คะแนนเฉือนเพื่อนร่วมทีมอย่าง แกร์ด มุลเลอร์ ส่วนอีกครั้งได้ในปี 1976
         นอกจากนี้ ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวเออร์ ยังเป็นเทรนเนอร์ทีมชติเยอรมันตะวันตกพาทีมคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1990 อีกด้วย ถือเป็นคนที่ 2 ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล่ ของบราซิลที่ทำได้ ก่อนที่ ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ จะเป็นคนล่าสุดที่ทำได้ในปี 2018 นี้เอง 
ชื่อ : เปาโล รอสซี่
แชมป์โลก : ปี 1982 (อิตาลี)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 1985 (ยูเวนตุส)
บัลลง ดอร์ : ปี 1982

         ถือเป็นนักเตะที่อาจจะได้มีช่วงพีคในเส้นทางค้าแข้งที่ยาวนานอะไรแต่ก็เรียกได้ว่าขึ้นมาถูกที่ถูกเวลาพอดีเป๊ะ
         เปาโล รอสซี่ อาจจะไม่ใช่กองหน้าระดับ "จอมถล่มประตู" แต่ในฟุตบอลโลก 1982 คือช่วงที่ดีที่สุดในอาชีพหลังพา ยูเวนตุส ได้แชมป์ลีกมาครอง ก็เดินหน้าสู่ฟุตบอลโลกที่ประเทศสเปน
         รอสซี่ จัดการตะบัน 6 ประตู แบ่งเป็นรอบแบ่งกลุ่ม 3 ลูก, รอบรองชนะเลิศ 2 ลูกให้ทีมชนะ โปแลนด์ 2-0 และมายิงอีกหนึ่งเม็ดในเกมชิงชนะเลิศให้ทีมโค่น เยอรมันตะวันตก 3-1 คว้าแชมป์โลกไปครอง พร้อมตำแหน่งดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ไปครอง
         แน่นอนว่าด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ทำให้ รอสซี่ ก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ประจำปีนี้ไปครองด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้นเลย
         ก่อนที่ปีสุดท้ายในการค้าแข้งกับ "ม้าลาย" ซึ่งแม้ว่าผลงานจะไม่ดีเท่าไรนัก แต่ก็ยิง 5 ประตูช่วยให้ ยูเวนตุส คว้าแชมป์โดยในรอบชิงชนะเลิศทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างโด่งดังใน "โศกนาฏกรรมเฮย์เซล" ที่อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน
         เหตุการณ์นี้ส่งให้ ลิเวอร์พูล ถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 6 ปี เช่นเดียวกับทุกสโมสรในอังกฤษก็ถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 5 ปี นั่นเอง
ชื่อ : ซีเนอดีน ซีดาน
แชมป์โลก : ปี 1998 (ฝรั่งเศส)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 2002 (เรอัล มาดริด)
บัลลง ดอร์ : ปี 1998

         นักเตะที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ที่มีลีลาและชั้นเชิงในสไตล์การเล่นของฟุตบอลยุคใหม่อย่างสุดยอด
         จากความเก่งฉกาจกับ บอร์กโดซ์ ก่อนโยกมาดังเต็มขั้นกับ ยูเวนตุส ยกระดับการเล่นของ ซีเนอดีน ซีดาน ให้ก้าวขึ้นมาเป็นยอดนักเตะของโลก โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ซีดาน ในฐานะจอมทัพพาทีมกรุยทางถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนที่จะจัดการสองประตูในรอบชิงให้ทีมถล่ม บราซิล 3-0
         แน่นอนว่าในเกมดังกล่าวนั้นจอมทัพหัวไข่ดาวคว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ไปครอง รวมถึงรางวัลบัลลง ดอร์อย่างไร้ข้อกังขา
         ในปี 2001 ซีดาน โยกไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในยุค "กาลาคติกอส" ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกในเวลานั้น และก็ไม่ทำให้แฟนๆราชันชุดขาวต้องผิดหวังด้วยการซัลโวประตูชัยสุดสวยในรอบชิงชนะเลิศในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกให้ทีมเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น 2-1
         น่าเสียดายที่เจ้าตัวน่าจะมีเหรียญแชมป์ฟุตบอลโลกอีกสมัยในปี 2006 ที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายทีมพ่ายแพ้ให้ อิตาลี ในการดวลจุดโทษ 3-5 หลังเสมอกัน 1-1 แต่ ซีดาน ก็เป็นที่จดจำได้ดียิ่งกว่าจากการโดนใบแดงที่เอาหัวไป "โหม่ง" เต็มหน้าอกของ มาร์โก มาเตรัซซี่ เต็มๆ
ชื่อ : ริวัลโด้
แชมป์โลก : ปี 2002 (บราซิล)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 2003 (เอซี มิลาน)
บัลลง ดอร์ : ปี 1999

         ทำเนียบสุดยอดนักเตะที่มีเท้าซ้ายฉมังที่สุดในโลกคนอาจจะคิดถึง ดีเอโก้ มาราโดน่า หรือ ลิโอเนล เมสซี่ ก่อนใคร แต่เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครลืมชื่อของ ริวัลโด้ อย่างแน่นอน
         จอมทัพทีมชาติบราซิลยุค "เฟื่องฟู" ที่ใครได้เจอก็ต้องขยาดไปตามๆกัน ด้วยลีลาการเล่นที่แสนเร้าใจ, จ่ายบอลดี, ยิงบอลเด่น แถมมีฟรีคิกที่หาตัวจับยากด้วย
         นี่คือนักเตะที่ได้ชื่อว่าทำให้ บาร์เซโลน่า มีวันนี้ได้แม้จะไม่ได้พาทีมประสบความสำเร็จอะไรมากมายนัก แต่รางวัลบัลลง ดอร์ที่ได้มาเกิดขึ้นในสมัยที่ค้าแข้งกับทีม "เจ้าบุญทุ่ม" นี่เองในปี 1999
         ในปี 2002 ริวัลโด้ ที่เป็นกำลังสำคัญในยุค "3 อาร์" ที่มี โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ และ ริวัลโด้ ช่วยทีมพาให้ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ล้มล้างความผิดหวังจากเมื่อปี 1998 ได้สำเร็จ
         ในปีนั้นเองเจ้าตัวย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน และเป็นกำลังสำคัญให้ทีมคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองด้วยการเอาชนะ ยูเวนตุส คู่แข่งร่วมลีกด้วยการดวลจุดโทษในปี 2003
ชื่อ : โรนัลดินโญ่
แชมป์โลก : ปี 2002 (บราซิล)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 2006 (บาร์เซโลน่า)
บัลลง ดอร์ : ปี 2005

         นักฟุตบอลที่ลงสนามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอจนกลายเป็นสิ่งที่ติดตัวและแฟนบอลติดตาไปแล้ว
         นี่คือหนึ่งในนักเตะที่หลายคนยอมรับว่าดีที่สุดตลอดกาล ในช่วงที่พีคที่สุดพูดได้เลยว่าไม่มีใครหยุด โรนัลดินโญ่ ได้
         เขาคือนักเตะที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อเตะฟุตบอล "เหยินเล็ก" มีทักษะฟุตบอลที่โดดเด่นมาตั้งแต่ยังเด็กก่อนเข้าสังกัดเกรมิโอและโยกมาเล่นในแผ่นดินยุโรปกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ก่อนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับ บาร์เซโลน่า และเขาคือหนึ่งในนักเตะที่ได้ชื่อว่าช่วยให้ ลิโอเนล เมสซี่ มีวันนี้
         โรนัลดินโญ่ คือกลไกสำคัญช่วยให้ทัพ "แซมบ้า" คว้าแชมป์โลกมาครองในปี 2002 โดยเฉพาะฟรีคิกปลิดชีพทีมชาติอังกฤษที่ทำเอา เดวิด ซีแมน จำไปจนวันตาย
         ตลอดระยะเวลา 5 ปีในถิ่นคัมป์ นู, โรนัลดินโญ่ ถูกยกให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก แม้โทรฟี่จะไม่ได้มากมายอะไรนักอย่างลา ลีกา 2 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และ ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า 1 สมัย แต่การทำให้แฟนบอล เรอัล มาดริด ลุกขึ้นปรบมือให้ในเกมที่กดสองเม็ดพาทีมบุกถล่มถึงซานติอาโก้ เบร์นาเบว 3-0 ก็เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ
ชื่อ : ริคาร์โด้ กาก้า
แชมป์โลก : ปี 2002 (บราซิล)
ยูโรเปี้ยน คัพ : ปี 2007 (เอซี มิลาน)
บัลลง ดอร์ : ปี 2007

         ถ้าพูดถึงนักฟุตบอลที่ชื่อ "กาก้า" นอกจากแฟนบอล เอซี มิลาน แล้วก็คงเป็นแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่แหละที่จำได้ดีกว่าใคร
         หลังเติบโตมากับ เซา เปาโล ในบ้านเกิด จอมทัพทีมชาติบราซิลลัดฟ้ามาค้าแข้งกับ เอซี มิลาน ในปี 2003 หนึ่งปีหลังจากที่คว้าแชมป์โลกกับทีมชาติบราซิล ซึ่งแม้ว่าตลอดทั้งทัวร์นาเม้นต์จะได้ลงสนามเพียง 25 นาทีแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะแชมป์โลกนั่นแหละ
         ที่อิตาลีนี่เองคือจุดสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัวเมื่อระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลา 6 ปีในถิ่นซาน ซีโร่เลยก็ว่าได้
         โดยเฉพาะในปี 2007 ที่ อังเดร เชฟเชนโก้ ย้ายไปอยู่กับ เชลซี ทำให้ภาระของ กาก้า เพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เจ้าตัวกลับฉายฟอร์มอย่างโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะในเวทียุโรป และโดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศที่ทีมพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
         หลังความพ่ายแพ้ 2-3 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่ง กาก้า ก็เหมาสองประตูให้ทีม กลับมาเล่นที่ ซาน ซีโร่, กาก้า ก็เป็นคนพังประตูเบิกร่องก่อนที่ทีมจะไล่ถล่มไป 3-0 ซึ่งไฮไลท์อยู่ที่เกมแรกที่เจ้าตัวเล่นงาน กาเบรียล ไอน์เซ่ และ ปาทริซ เอวร่า เป็นเด็กและเข้าไปทำประตูซึ่งหลายคนคงจำได้เป็นอย่างดี
         สุดท้าย กาก้า พาทีมเข้าชิงก่อนเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 คว้าแชมป์ไปครอง ล้างตาได้หลังจากที่แพ้มาอย่างเจ็บช้ำเมื่อปี 2005 พร้อมกับก้าวไปคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ในปีนี้ไปครอง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด