:::     :::

ย้อนอดีต "ปืนไร้พ่าย"...ตอน 2

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นอกจากฝีเท้าแล้ว อีกจุดแข็งของอาร์เซน่อลชุดนั้นคือ "หัวใจ" ที่แกร่งสุดๆ มีเลือดนักสู้เต็มเปี่ยม ไม่มีหงอหรือยอมให้ใครหน้าไหนง่ายๆ

วัดกันที่คุณภาพฟุตบอลก็ไม่เป็นรองใคร หรือหากจะสู้กันที่ลูกบู๊ลูกหนักก็ไม่หวั่น ผู้เล่นอย่าง ปาทริค วิเอร่า, เธียร์รี่ อองรี, โซล แคมป์เบลล์, โคโล่ ตูเร่, แอชลี่ย์ โคล และ มาร์ติน คีโอว์น พร้อมเผชิญหน้าคู่แข่งแบบไม่มีกลัวโดยเฉพาะกับการเจอแมนฯ ยูไนเต็ดที่สู้กันถึงเลือดถึงเนื้อจริงๆ 

ปืนใหญ่ยุคนั้นเล่นกันหนักหน่วง แฟนบอลบ้านเราถึงขนาดเรียกว่า "ช่างกลปืนโต" เพราะมีเรื่องมีราวนอกเกมบ่อยมาก พวกเขาโดนใบเหลืองตลอดฤดูกาลรวม 74 ใบ ใบแดงอีก 5 

ปาทริค วิเอร่า คนเดียวก็ได้เหลืองมากถึง 13 ใบ คือโดนเป็นว่าเล่นจริงๆ วันไหนไม่มีเรื่องกับฝ่ายตรงข้ามหรือเถียงกับผู้ตัดสินก็นอนไม่หลับ

แต่น่าแปลกที่หลายต่อหลายนัดที่เหลือผู้เล่น 10 คน อาร์เซน่อลยังคงเล่นกันได้ดี เผลอๆ ดีกว่าตอนมี 11 เท่าคู่แข่งด้วยซ้ำ นั่นทำให้กอดคอสู้พลิกสถานการณ์ได้ตลอด 

แคแรกเตอร์ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้อาร์เซน่อลผ่านเกมยากๆ ได้หลายครั้งและเป็นสิ่งที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับทีมในหลายปีหลังซึ่งเป็นรองชัดเจนในเรื่องหัวจิตหัวใจ  

หากใครบอกว่าอาร์เซน่อลชุดไร้พ่ายมีเรื่องของ "โชค" ผสมด้วยก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลยนักเพราะบางนัดที่น่าจะแพ้ก็เอาตัวรอดได้หวุดหวิด


3 ประสานฝรั่งเศส วิเอร่า, ปิแรส และ อองรี

เกมบุกเสมอแมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 ที่โอลด์ แทร์ฟฟอร์ด คือตัวอย่างเด่นชัดที่สุดเพราะอาร์เซน่อลเสียจุดโทษในช่วงทดเจ็บ ทว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย กลับยิงไม่เข้า 

ทั้งสองทีมใส่กันดุเดือดเช่นเคย ปาทริค วิเอร่า โดนไล่ออกอีกครั้งหลังพยายามดีดขาเอาคืน ฟาน นิสเตลรอย นั่นทำให้ตอนจบเกม หัวหอกผีแดงจึงโดนแข้งปืนรุมทึ้งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนกลายเป็นอีกเหตุการณ์อื้อฉาวของพรีเมียร์ลีก

วันที่ไล่ตีเสมอพอร์ทสมัธ 1-1 ในนัดที่ 5 ก็เช่นกัน โรแบร์ ปิแรส ทำเนียนล้มในเขตโทษจนได้จุดโทษ ขณะที่ เธียร์รี่ อองรี ก็ได้ยิงจุดโทษใหม่ทั้งที่ครั้งแรกพลาดไปแล้ว 

หลังจบเกม แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือทัพปอมปีย์ในยุคนั้นให้สัมภาษณ์หัวเสียว่า "มันน่าอายจริงๆ ผมไม่อยากบอกว่า ปิแรส พุ่งล้มนะ แต่มันไม่ใช่จุดโทษแน่นอน"

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเกมใหญ่ที่เริ่มต้นไม่ดีแต่ก็ฮึดกลับมาชนะได้ไม่ว่าจะเป็นเกมแซงชนะเชลซี 2-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ หรือไล่อัดลิเวอร์พูล 4-2 ที่ไฮบิวรี่จากความสามารถเฉพาะตัวของ เธียร์รี่ อองรี ที่ทำแฮตทริกได้สำเร็จ ส่วนการเจอกันนัดแรกที่แอนฟิลด์ ก็เป็นหงส์แดงที่นำก่อนแต่สุดท้ายก็เสร็จปืนใหญ่ 

ส่วนอีกนัดที่อยู่ในความทรงจำของแฟนปืนใหญ่คือวันที่บุกเสมอสเปอร์ส 2-2 และคว้าแชมป์ได้ถึงสนามไวท์ ฮาร์ท เลน ในนัดที่ 34 ของฤดูกาล 

"ไก่เดือยทอง" พกความมุ่งมั่นเต็มพิกัดเพื่อไม่ให้อาร์เซน่อลบุกมาคว้าแชมป์ถึงบ้านและต้องการเป็นทีมแรกที่ยัดเยียดความปราชัยให้อริร่วมกรุงลอนดอนตอนเหนือ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงไล่ตีเสมอ

1 คะแนนสำหรับอาร์เซน่อลถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นแชมป์และบุกมาคว้าเย้ยสเปอร์สถึงถิ่นอีกครั้งหลังเคยทำได้มาแล้วในปี 1971 ที่พวกเขาเป็นดับเบิ้ลแชมป์ 


คีโอว์น เอาคืน ฟาน นิสเตลรอย ที่พลาดจุดโทษ

หนึ่งวันหลังจบฤดูกาล อาร์เซน่อลจัดพาเหรดแห่แชมป์ท่ามกลางแฟนบอลไม่ต่ำกว่า 250,000 คนที่ออกมาต้อนรับตามสองข้างทาง (แฮร์รี่ เคน คือหนึ่งในนั้น) 

ปาทริค วิเอร่า ในฐานะกัปตันทีมขึ้นกล่าวหน้าอิสลิงตัน ทาว ฮอลล์ ว่า "นี่คือฤดูกาลอันมหัศจรรย์ เราทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ แต่จะไม่เกิดขึ้นได้เลยหากปราศจากแฟนบอล" 

ขณะที่ เดวิด ดีน ผู้บริหารคนเก่งเสริมว่า "เราได้เห็นประวัติศาสตร์ถูกสร้างขึ้น และผมจะเซอร์ไพรส์หากเกิดขึ้นอีก มันเป็นสิ่งที่พิเศษจริงๆ กับการได้ดูอาร์เซน่อลฤดูกาลนี้"  

ดีเร็ค ชอว์ ประธานสโมสรเปรสตันก็ร่วมกล่าวแสดงความยินดีกับอาร์เซน่อลที่ทำสถิติไร้พ่ายได้เหมือนเปรสตันที่เคยทำได้เมื่อ 115 ปีก่อน ส่วน โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็กซ้ายตีนหนักของเรอัล มาดริด ในยุคนั้นเปรียบเทียบทืมปืนใหญ่ว่ามีสไตล์การเล่นเหมือนเพลงแข้งของทัพแซมบ้า 

ในปี 2012 ที่พรีเมียร์ลีกอายุครบ 20 ปี อาร์เซน่อลชุดไร้พ่ายได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดตลอดกาล เหนือกว่าชุด 3 แชมป์ของแมนฯ ยูไนเต็ดในปี 1999 

อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี พาทีมยืดสถิติไร้พ่ายต่อเนื่องอีก 9 นัดแรกของฤดูกาล 2004/05 ก่อนถูกหยุดลงในเกมพ่ายต่อแมนฯ ยูไนเต็ด 0-2

เมื่อรวมกับอีก 2 นัดในฤดูกาล 2002/03 สถิติไร้พ่ายของปืนใหญ่จึงยาวนาน 49 นัดติดต่อกันและกลายเป็นมาตรฐานสูงลิบที่ไม่เคยมีทีมใดเทียบเคียงได้จนกระทั่งปัจจุบัน

อาร์เซน่อลชุดไร้พ่าย 2003/04 เป็นชุดที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสรอย่างไร้ข้อกังขา พวกเขามีพร้อมทั้งฝีเท้าของผู้เล่น ฝีมือของผู้จัดการทีม สไตล์การเล่น ประสบการณ์ และเลือดนักสู้ที่ห้าวหาญ แถมช่วงเวลาก็เหมาะสมอีกด้วย เพราะคู่แข่งในกลุ่มนำด้วยกันไม่มากเท่าพรีเมียร์ลีกยุคหลังที่มีถึง 5-6 ทีม

แต่นั่นก็คือจุดสูงสุดของอาร์เซน่อลที่หลังจากจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ได้แล้ว ก็ไม่เคยขึ้นไปแตะระดับนั้นเพราะไม่เคยเป็นแชมป์ลีกได้อีกเลย 

ภาระที่ต้องสร้างสนามใหม่ทำให้ทีมไม่สามารถทุ่มค่าเหนื่อยรั้งสตาร์เอาไว้ได้ เช่นเดียวกับไม่มีเงินทุนที่จะไปซื้่อบิ๊กเนมแข่งกับแมนฯ ยูไนเต็ดและมหาอำนาจใหม่อย่างเชลซี


ปืนใหญ่เข้าชิงชปล. ปี 2006 แต่พ่ายบาร์ซ่า

  ทุกซัมมอร์ต่อมาต้องเสียแกนหลักออกไปตลอดไล่ตั้งแต่ ปาทริค วิเอร่า ไปยูเวนตุสในปี 2005, เดนนิส เบิร์กแคมป์ แขวนสตั๊ดในปี 2006 เช่นเดียวกับ โซล แคมป์เบลล์, โลร็องต์ เอตาเม่ และ โรแบร์ ปิแรส ที่เริ่มโรยราจนต้องปล่อยตัวออกไป ขณะที่ แอชลี่ย์ โคล ก็โดนอำนาจเงินดูดเข้าสแตมฟอร์ด บริดจ์ 

ซัมเมอร์ 2007 ถึงคิว เธียร์รี่ อองรี ที่ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ซึ่งนับจากฤดูกาล 2007/08 จนถึงปัจจุบัน อาร์เซน่อลทำได้เพียงประคองตัวในพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก และจบในตำแหน่งรองแชมป์เพียงครั้งเดียวในฤดูกาล 2015/16 แต่ก็ไม่ใช่บี้ลุ้นแชมป์เพราะปีนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ สร้างปาฎิหาริย์ได้แชมป์ก่อนจบฤดูกาล 

น่าเสียดายที่อาร์เซน่อลชุดที่ดีที่สุดไม่ได้ต่อยอดความยิ่งใหญ่ให้มากกว่าแชมป์เอฟเอ คัพ 2005 เพราะในปี 2006 ที่เข้าชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แต่ก็พ่ายต่อบาร์เซโลน่าหวุดหวิด 1-2 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด