:::     :::

หลุมฝังศพที่ 'เดอะ บริดจ์'

วันจันทร์ที่ 06 พฤศจิกายน 2560 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
11,163
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้นัดที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีด ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

สังเวียนแห่งนี้ยังคงเป็นสนามที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักจะกลับออกไปด้วยผลงานที่ไม่ดีเสมอนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น 'พรีเมียร์ลีก'

จากสถิติอ่านได้ว่า 16 เกมหลังสุด (นับเฉพาะในลีก) ที่ ปิศาจแดง ต้องมาเล่นที่นี่พวกเขาชนะไปได้แค่หนเดียว ที่เหลือ แพ้ไป 10 และเสมอ 5 ครั้ง

มันเป็นความกังวลก่อนเกม เมื่อดูจากสถิติที่ผ่านมา แต่ทั้งนักเตะและกุนซือ ต่างมั่นใจว่าพวกเขาจะได้ผลการแข่งขันที่ดีออกมา

รูปเกมมันฟ้องแบบนั้น ยูไนเต็ด ที่โดนกะเก็งว่าคงเดินทางไปตั้งรับแน่นอน ทว่าพวกเขากลับเปิดเกมรุกเข้าสู้ทำให้เกมช่วงแรกนั้นสนุกมากทีเดียวเพราะทั้งสองทีมต่างมีโอกาสจบสกอร์กันหลายจังหวะ

โชเซ่ มูรินโญ่ พยายามอาศัยการเข้าทำเร็วเล่นงาน เชลซี ไม่ต่างจากเจ้าถิ่นที่ใช้ความจัดจ้านของทั้ง เอแด็น อาซาร์ และ เชิงบอลที่เหนือชั้นของ เชส ฟาเบรกาส ในการเจาะแนวรับผีแดง

แดนกลางก็สู้กันสนุก เนมานย่า มาติช กับ อันเดร์ เอร์เรร่า ยังคงวิ่งพล่านและเจองานหนักกว่าที่ผ่านมาๆเนื่องจาก เอ็นโกโล่ กลับมาประจำการได้อีกครั้ง รวมไปถึง ตีเยมูเอ้ บากาโยโก้ ที่มีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้น

เข็มนาฬิกาเดินหน้าไป เกมเริ่มเอนเอียงมาทาง สิงโตน้ำเงินคราม ที่ทำได้ดีกว่าโดยเฉพาะ ก็องเต้ ที่ต้องบอกว่าเป็นพระเอกของเกมเลยก็ว่าได้

จากทีมที่หละหลวมและเสียประตูง่ายในช่วงที่ผ่านมา แต่การได้กองกลางตัวตัดเกมเบอร์ 1 อย่าง ก็องเต้ กลับมาทำให้สมดุลภายในทีมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

บากาโยโก้ ที่ถูกแซะ ถูกแซวก่อนหน้านี้กลับทำผลงานได้โดดเด่น มีส่วนร่วมกับเกมในจังหวะสำคัญๆ 

แนวรุกอย่าง อาซาร์ และ ฟาเบรกาส ไม่ต้องพะวงและลงมาช่วยเกมรับมากเกินไป พวกเขาทั้งสองคนสามารถมุ่งมั่นและเพ่งสมาธิในการเดินเกมรุกให้กับทีมได้อย่างเต็มที่





อัลบาโร่ โมราต้า เป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกพูดถึงความขยันและพยายามจะมีส่วนร่วมกับเกม เขาคอยสอดสลับกับ ฟาเบรกาส และ อาซาร์ ในการลงมาล้วง พัก และดึงตัวประกบให้ตามขึ้นมาเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนอื่นๆ

แนวรับ เชลซี เองก็ดูจะเล่นมั่นใจขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากชายที่ชื่อ ก็องเต้ นั่นแหละ

ฝั่ง ยูไนเต็ด ... 

อาจจะเริ่มต้นได้ดีแนวรุกดูวูบวาบ แต่อย่างที่เรียนไป พอเกมดำเนินไปความได้เปรียบตกไปทาง เชลซี โดยเฉพาะแดนกลางอย่าง เอร์เรร่า และ มาติช ที่เจอศึกหนักอย่างมาก

กองกลางชาวเซอร์เบีย เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน จากนักเตะที่นิ่งและจ่ายบอลคมกริบ นัดล่าสุดเขากลับจ่ายเสียบ่อยครั้ง และโดนกดดันอย่างหนักจากฝ่ายตรงข้าม

แนวรุกโดยเฉพาะ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็โดน เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า ประกบติดชนิดเป็นเงาตามตัว เพราะเขาจะคอยตามเจ้าหนูแรชเสมอ ยามที่บอลมาถึงแนวรุกทีมชาติอังกฤษ โดยอาศัยความตื๊อและการอ่านเกมตัดบอลก่อนที่ แรชฟอรืด จะสร้างความอันตราย

ในบางจังหวะก็จะมีผู้ช่วยอย่าง ก็องเต้ ที่ว่างเว้นจากงานหลักเข้ามาไล่ บดบัง หรือ ขัดขวาง ไม่ให้ แรชฟอร์ด เล่นได้ตามที่ต้องการ

นั่นคือจุดสำคัญที่ อันโตนิโอ คอนเต้ พยายามสั่งการให้ อัซปิลิกวยต้า และนักเตะคนอื่นๆพยายามปิดช่องทางการทำเกมของ แรชฟอร์ด (รวมไปถึงการเติมเกมริมเส้น) เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าหนูคนนี้มีดี และอันตรายมากเพียงใด ซึ่งมันได้ผลในหลายๆจังหวะ

ส่วนคนอื่นๆอย่าง เฮนริค มคิทาร์ยาน และ โรเมลู ลูกากู ก็ยังคงเงียบเป็นเป่าสาก แม้กองหน้าชาวเบลเยียมจะมีจังหวะสับไกสวยๆ แต่โดยรวมก็ยังน่าผิดหวัง

แนวรับก็มีงานหนักในการรับมือแนวรุกของ เชลซี ซึ่งทำเอาสามพระหน่ออย่าง เอริค ไบยี่, ฟิล โจนส์ และ คริส สมอลลิ่ง ต้องลิ้นห้อย และทั้งสามก็มีส่วนรับผิดชอบกับจังหวะเสียประตู

แน่นอนจังหวะนั้นมันไม่ควรเกิดขึ้น แดนกลางปล่อยโล่งทำให้ อัซปิลิกวยต้า ดันสูงแล้วได้ครอสแบบไม่มีใครกดดัน เช่นเดียวกับ โมราต้า ที่ลอยโขกเน้นๆคนเดียวส่งบอลเสียบมุม

จังหวะ 3 ต่อ 1 แต่แนวรับของ ยูไนเต็ด ได้แต่มอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่สามารถตัดสินเกมได้




โชเซ่ มูรินโญ่ พยายามแก้เกม ภาพตัดไปเห็นเขากำลังปรึกษากับทีมงาน ให้หลังไม่กี่นาที มารูยาน เฟลไลนี่ และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ถูกส่งลงสนามพร้อมกับปรับระบบมาเล่น 4-3-3

รูปเกมของ ปิศาจแดง ดีขึ้นกว่าช่วงต้นครึ่งหลัง พวกเขาเดินหน้าเปิดเกมรุกมากขึ้นต่างจากเชลซี ที่อาศัยการดักโต้ตีหัวเข้าบ้าน

ตอนนั้นมันเป็นการสู้กันระหว่างเกมรุกและรับว่าใครจะเด็ดขาดและเหนียวกว่ากัน ผีแดง ได้โอกาสงามๆจากทั้ง เฟลไลนี่ และ แรชฟอร์ด 

ฝั่ง เชลซี ก็ได้โอกาสจากจังหวะสวนกลับและเกือบจะปิดเกมได้หลายครั้ง

สำหรับ แมนฯยูไนเต็ด หลังจากส่ง เฟลไลนี่ ลงสนามทำให้พวกเขาดูดีขึ้นกับมิติการเข้าทำที่มีทางเลือกมากกว่าเดิม

ในวันที่เกมริมเส้นถูกปิด แรชฟอร์ด ถูก อัซปิลิกวยต้า ตามติดเป็นเงาตามตัว มาร์กซิยาล ไม่สามารถลงมาเป็น 'ซูเปอร์ซับ' เหมือนที่ผ่านมาๆ และ ลูกากู ก็ยังคลำเป้าทีมใหญ่ไม่เจอ

ทางเลือกในการใช้งาน เฟลไลนี่ จึงเป็นสิ่งที่พอจะป่วนแนวรับ เชลซี ได้ในช่วงท้าย






มูรินโญ่ เองก็ยอมรับว่าตนต้องพยายามหาตัวสร้างสรรค์เกมอีกคนลงสนาม เพราะเกมริมเส้นของเขาโดนปิดช่องทางการลำเลียง

"ผมพยายามนำนักเตะที่สามารถสร้างสรรค์เกมลงสนาม โดยเฉพาะยามที่ เชลซี เริ่มเปลี่ยนนักเตะแนวรับลงไป รวมไปถึงการที่พวกเขาโดนสั่งให้ลงไปแนวลึกทั้งหมด"

"มันจึงเป็นการยากที่จะเจาะด้วยการสร้างสรรค์ของ แรชฟอร์ด และ มาร์กซิยาล ดังนั้นวิธีการที่เราต้องทำคือใช้ความยอดเยี่ยมของ เฟลไลนี่"

"กับทางเลือกที่แตกต่างออกไปเช่นนี้ เราสามารถสร้างโอกาสได้ดี อย่างการพักอกแล้วหวดของ เฟลไลนี่ ที่ไปติดเซฟ และจังหวะยิงของ แรชฟอร์ด ที่ถากเสาออกไป"

"ผมว่าเราสมควรที่จะได้ประตู"

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทวงคืนได้ อย่างที่ มูรินโญ่ และลูกทีมหวังเอาไว้ ... 

ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นน่าเจ็บใจก็จริงเพราะมันฉิวเฉียดเหลือเกิน แต่ก็อย่างที่เคยเรียนไปในหลายๆครั้ง ความผิดพลาดมักจะมีบทเรียนให้เราอยู่เสมอ ขึ้นกับเราว่าจะสามารถถอดบทเรียนที่ว่ามาเป็นแรงกระตุ้นได้หรือไม่

ความพ่ายแพ้นำมาซึ่งความไม่พอใจ แต่เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ได้แต่ต้องเดินหน้าและพยายามกลับมาในนัดต่อไป

กับทิศทางที่เกิดขึ้นถือว่าส่งสัญญาณที่ดีออกมา แม้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ก็ตาม

เส้นทางยังอีกยาวไกล 8 แต้มที่โดนทิ้งขาดอาจจะเป็นเรื่องไกลเกินฝัน

แต่ ... ความฝันคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ก้าวต่อไป 

มีบ้างที่ฝันสลาย แต่มันก็ไม่เสมอไปเพราะบ่อยครั้งความฝันก็มักจะเป็นจริง

หากมามัวแต่คร่ำครวญตีโพยตีพาย และลืมไปว่ายังเหลือเกมให้ลงสนามอีกหลายนัด สู้เอาสมาธิมาใส่กับเกมต่อไปจะดีกว่า

การต่อสู้ยังอีกยาวไกล หากมายอมแพ้ตอนนี้ก็คงไม่ใช่จิตวิญญาณที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สั่งสมมานานนับ 100 กว่าปี


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})