สำหรับสโมสรสเปอร์ส ที่ออกมาประกาศแยกทางกับ "เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่" พร้อมกับแต่งตั้ง "โชเซ่ มูรินโญ่" เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่เป็นที่เรียบร้อย 

นอกจากเป็นการกลับมาคุมทีมฟุตบอลอีกครั้งของ "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" เขสยังสร้างสถิติบางอย่างขึ้นมา ในแง่เงินทอง โดยเจ้าตัวเตรียมรับค่าจ้างจาก "ไก่เดือยทอง" เป็นจำนวนเงินมหาศาลถึง 15 ล้านปอนด์ต่อปี 

ส่งผลให้มูรินโญ่ กลายเป็นกุนซือที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกลูกหนังทันที ..... ช่วงนี้ เราจึงจะพาไปพบกับ "10 ผู้จัดการทีมที่ค่าจ้างแพงสุดในโลก" ผ่านการรวบรวมข้อมูลจาก "เดลี่ เมล" สื่อชื่อดังของประเทศอังกฤษ 

อันดับ 10 : เจอร์เก้น คล็อปป์ (ลิเวอร์พูล) 7 ล้านปอนด์ต่อปี

เหลือเชื่อมากว่า กุนซือที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากการพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 6 พร้อมกับสามารถปลุกวิญญาณของเครื่องจักรสีแดง ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จะได้รับค่าเหนื่อยราว 7 ล้านปอนด์ต่อปี ถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างน้อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับกุนซือในระดับท็อปด้วยกัน แน่นอนว่า หากมีการเจรจาสัญญาใหม่ ตัวเลขน่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ 

อันดับ 8 (ร่วม) : โธมัส ทูเคิ่ล (เปแอสเช) และ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ (บาร์เซโลน่า) 8 ล้านปอนด์ต่อปี

ทูเคิ่ล ได้รับค่าเหนื่อยจากเปแอสเช เป็นจำนวน 8 ล้านปอนด์ต่อปี แม้ว่าจะได้แชมป์ลีกเอิง แบบไม่ยากเย็น ทว่าเขาต้องพบกับความกดดันไม่น้อยเลย เพราะค่าจ้างแบบนั้น สโมสรอยากได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาประดับตู้โชว์ด้วย ขณะที่ บัลเบร์เด้  ก็รับทรัพย์เท่ากันคือ 8 ล้านปอนด์ต่อปี อย่างไรก็ตาม สไตล์การคุมทีมของเขา ดูเหมือนว่ายังไม่ตรงใจแฟนบอลบาร์เซโลน่า เท่าที่ควร

อันดับ 7 : อันโตนิโอ คอนเต้ (อินเตอร์ มิลาน) 9 ล้านปอนด์ต่อปี

คอนเต้ กลับมารับงานในบ้านเกิดที่ประเทศอิตาลี อีกครั้ง โดยที่พลพรรค "เนรัซซูรี่" ทำการมอบค่าจ้างให้เขาเป็นจำนวน 9 ล้านปอนด์ต่อปี โดยผลงานช่วงแรกก็ยังถือว่าน่าชื่นชม เมื่อพาทีมทำผลงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในศึกกัลโช่ เซเรีย อา ด้วยการรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง และมีคะแนนตาหลังยูเวนตุส เพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น ถือว่ายังลุ้นได้อีกยาวๆ

อันดับ 5 (ร่วม) : ฟาบิโอ คันนาวาโร่ (กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์) และซีเนอดีน ซีดาน (เรอัล มาดริด) 10 ล้านปอนด์ต่อปี

ฟุตบอลลีกจีน ขึ้นชื่อเรื่องของการทุ่มทุนสร้างอยู่แล้ว นอกจากค่าเหนื่อยนักเตะแล้ว ค่าจ้างของผู้จัดการทีมก็สูงเช่นกัน โดยที่คันนาวาโร่ ได้รับเงินจากกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ 10 ล้านปอนด์ต่อปี ผลงานในปีนี้ คือการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดแดนมังกรกับเซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี กับปักกิ่ง กั๋วอัน จนถึงช่วงโค้งสุดท้าย รวมถึงการที่เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ขณะที่ซีดาน ก็รับทรัพย์ 10 ล้านปอนด์ต่อปีเช่นกัน กับการหวนกลับมาคุมทัพ "ราชันชุดขาว" อีกคำรบ โดยมีงานหนักรออยู่ กับการถ่ายสายเลือดใหม่ให้กับทีม

อันดับ 4 : ราฟาเอล เบนิเตซ (ต้าเหลียน อีฟาง) 11.5 ล้านปอนด์ต่อปี

ราฟา เป็นกุนซือระดับโลกอีกหนึ่งคนที่เดินทางมาโกยทรัพย์ในลีกสูงสุดของแดนมังกร โดยที่เจ้าตัวเข้ารับงานในช่วงเดือนกรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมา พร้อมกับได้รับค่าจ้างอยู่ที่ประมาณ 11.5 ล้านปอนด์ต่อปี ส่วนผลงานของทีมนั้น อยู่ในระดับกลางตาราง และไม่มีลุ้นอะไรแล้วในฤดูกาลนี้ 

อันดับ 3 : ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ (แอตเลติโก้ มาดริด) 13 ล้านปอนด์ต่อปี

กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ถือว่าเป็นคนสำคัญ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพลพรรค "ตราหมี" โดยที่เขารับค่าจ้างต่อปีอยู่ที่ 13 ล้านปอนด์ต่อปี หลังจากเข้ารับงานในช่วงปี 2011 เขาพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 1 สมัย และยูโรป้า ลีก 2 สมัย พร้อมกับเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ อีก 2 ครั้งด้วยกัน 

อันดับ 2 : โชเซ่ มูรินโญ่ (สเปอร์ส) 15 ล้านปอนด์ต่อปี

เพิ่งเข้ารับงานแบบสดๆร้อนๆ สำหรับกุนซือชาวโปรตุกีส ที่ได้รับค่าจ้างจากสเปอร์ส เป็นจำนวนเงินกว่า 15 ล้านปอนด์ต่อปี โดยกุนซือเจ้าของแชมป์ 25 โทรฟี่ตลอดเส้นทางคุมทีม มีสัญญากับทีมไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2022-23 โดยภารกิจแรก คือการพาขุนพล "ไก่เดือยทอง" กลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง หลังจากที่ผลงานช่วงหลังไม่ค่อยสู้ดีนัก 

อันดับ 1 : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) 20 ล้านปอนด์ต่อปี

หลังจากต่อสัญญาคุมทีมออกไปในช่วงปี 2018 ส่งผลให้เป๊ป กลายเป็นกุนซือที่ได้รับค่าจ้างแพงสุดในโลกทันที โดยทางทัพ "เรือใบสีฟ้า" ประเคนค่าเหนื่อยให้กับเขา 20 ล้านปอนด์ต่อปี แน่นอนว่า มันเป็นจำนวนเงินที่คุ้มค่า จากการที่ผู้จัดการทีมชาวสแปนิช รายนี้ สามารถพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย โดยเฉพาะการกวาดทุกแชมป์บนเกาะอังกฤษ ในฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป