อากัปกิริยาผ่านจอถ่ายทอดสดของสาววัย 53 คล้ายหล่อนยังไม่เชื่อสายตา ว่าทีมรักของตนกลายเป็น “ผู้แพ้” ในเกมนี้
รูปเกมตลอด 90 นาที การท่าเรือ เอฟซี แทบไม่ได้เป็นรอง เซเรส เนกรอส อาตันตุกะจาก ฟิลิปปินส์ เลยสักนิด ทว่าจนแล้วจนรอด พยายามกี่ครั้งก็ตามแต่ พลพรรคสิงห์เจ้าท่าไม่สามารถใส่สกอร์ได้
ในขณะที่สื่อบางคน เตรียมแพ็กกระเป๋าตะเตรียมอะไรหลายอย่าง เพื่อบินลัดฟ้าไปกรุงโตเกียว แต่ต้องมาเจอตลกร้าย เขวี้ยงเสื้อผ้าออกจากเป้แทบไม่ทัน
วันนี้เราจะมาว่าถึงมุมมองที่ทำให้ “ทริปโตเกียว” ในครั้งนี้ล่มปากอ่าวคลองเตยกัน
แพ้ภัยตัวเอง
แม้ความผิดพลาดส่วนบุคคลของ วรวุฒิ ศรีสุภา ในเกมเพียงครั้งเดียว จะทำให้ทีมไม่ได้ไปต่อ ทว่าหลายจังหวะในเกมที่ “ปอนด์” เองก็ช่วยเซฟให้ทีมไม่เสียประตู ฉะนั้นหากการโยนความผิดทั้งหมดไปให้นายด่านรายนี้ คงไม่ถูกนัก
เพราะหากมองไปที่รายละเอียดในเกม การท่าเรือ มีโอกาสจะ ๆ นับไม่ถ้วนในการกระซวกประตูคู่แข่ง ทว่าด้วยความเฉียบขาดในพื้นที่สุดท้าย ที่ทำให้ทีมไม่ได้ “จุดเปลี่ยน” ดังต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เฮแบร์ตี, อดิศักดิ์ ไกรษร, โก ซึล-กี หรือแม้กระทั่ง ธนาสิทธิ์ ศิริผลา หากต้องหาคนรับผิด ทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วมในครั้งนี้ ซึ่งหากใครสักคนในแนวรุก สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้สักครั้ง เชื่อว่าช็อตผิดพลาดของ วรวุฒิ จะไม่ถูกนับมาพูดถึงแน่นอน
แนวรุกที่จูนกันไม่ติด
แม้ฤดูกาลนี้ สิงห์เจ้าท่า จะมีการเสริมอาวุธหนักอย่างมากมาย ทว่าในเกมพบ เซเรส เนเกรอส มีเพียง เฮแบร์ตี แฟร์นานเดส ที่ถูกส่งลงเป็น 11 คนแรก ที่เหลือ โชคทวรี พรหมรัตน์ ยังยึดสมดุลทีมชุดเก่าจากปีกลายไว้
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในเกมนัดล่าสุดคือ เฮแบร์ตี เหมือนยังไม่สามารถ “เชื่อมเกม” กับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างลงตัว บ่อยครั้งในเกมที่เราเห็นคือ จังหวะขาด ๆ เกิน ๆ ไม่พอดี ครั้นเมื่อเชื่อมไม่ติด สุดท้ายต้องเพิ่งความสามารถเฉพาะตัวของดาวยิงบราซิเลียนแทน ซึ่งมันไม่ใช่วันของเขาจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะได้โอกาสสับไก เข้าทำด้วยรูปแบบไหน หรือแม้แต่ลูกตั้งเตะ ที่ทีมเยือนประเคนให้นับไม่ถ้วน แต่เรดาห์ เฮแบร์ตี ในวันนั้นส่งบอลไปหาแฟนบอลที่อัฒจันทร์แทนทั้งหมด
คู่ต่อสู้ซื้อเกมรับเต็มตัว
เหมือนที่ ริสโต วิดาโควิช ได้กล่าวไว้ก่อนเกมการแข่งขัน ว่านัดนี้พวกเขามาซื้อเกมรับอย่างเต็มตัว เพราะ เฮดโค้ชชาวเซอร์เบีย รู้ดีว่าศักยภาพลูกทีมเป็นรองทุกเหลี่ยมมุม
แต่แม้ทีมจะแพ็กเกมรับแน่นเป็นหลัก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ “รอโดนนวด” ฝ่ายเดียว เมื่อมีโอกาสก็จะใช้บอลกับพื้นตามสไตล์ถนัดเซตเกมกันขึ้นไป เพื่อหาจังหวะจบสกอร์ ซึ่งครึ่งเวลาแรก เซเรส มีลุ้นออกนำถึง 2 ครั้ง อีกสิ่งที่น่าชื่นชมในทีมของ ริสโต คือ แข้งชุดนี้หาได้ตื่นกับเสียงกองเชียร์ การท่าเรือ ที่กดดันตลอด 90 นาที เลยสักนิด หรือแม้จะโดนบี้เพรสซิ่งหนักแค่ไหน ก็สามารถ “แกะบอล” เอาตัวรอดออกมาได้แทบทุกครั้ง
เมื่อซื้อเกมรับจาก การท่าเรือ ได้ บวกกับคู่แข่งยิงนกตกปลาเองหลายหน และทีมมาได้ “ส้มหล่น” จากจังหวะที่ วรวุฒิ ชกบอลพลาด นั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างเข้าทาง เซเรส อย่างเต็มเปา
เป็น 90 นาทีที่จบไป เซเรส ไม่ได้ดีกว่า การท่าเรือ สักนิด เพียงแต่พวกเขาได้รับการชูมือออกจากฟลอร์หญ้าในฐานะผู้ชนะ
ตัวเลือกม้านั่งสำรองมีจำกัด
ในช่วงต้นครึ่งหลังที่ถูกนำ โชคทวี พรหมรัตน์ พยายามทุกทางเพื่อเปลี่ยนเกมให้กลับมา ทว่าอาวุธเสริมบนม้านั่งสำรอง กลับถูกใช้เพียง 2 โควตาเท่านั้น คือ ธนาสิทธิ์ ศิริผลา และ อดิศักดิ์ ไกรษร
หากแต่การลงมาของทั้งสองนั้น ยังไม่ได้ช่วยเพิ่ม “จุดเปลี่ยน” ที่ทีมต้องการได้ และเมื่อหันกลับไปดูที่ม้านั่ง ผู้เล่นในแนวรุกเหลือกลับมีเพียง เจนรบ สำเภาดี เพียงรายเดียว
คำถามคือในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องการประตู “โค้ชโชค” จะส่งเจ้าเจนมาแทนใคร
หากส่งมาแทน เฮแบร์ตี หรือ เซร์คิโอ ซัวเรส คิดว่าจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการหรือไม่ หรือหากแลกหมดหน้าตัก ส่งมาแทน โก ซึล-กี กับ ศิวกร จักขุประสาท สมดุลในแดนกลางก็จะขาดหายไป เป็นการเดิมพันที่ต้องขมวดคิ้วคิดหนัก
สุดท้าย โชคทวี เลือกซื้อความสามารถเฉพาะตัวของ ซัวเรส กับ เฮแบร์ตี ต่อ แม้รู้ว่าวันนี้ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีสุดของตัวเอง และสภาพร่างกายเปรี้ยจนถึงขีดจำกัด หากแต่ในมุมโค้ชช่างน้ำหนักดูแล้วว่า ไม่มีใครบนม้านั่งสำรองในโควตาสุดท้าย ทำได้ดีกว่า 2 แนวรุกต่างชาติ
เพียงแต่การ “ซื้อความสามารถตัวต่างชาติ” ครั้งนี้ของ โชคทวี มันไม่ได้ออกก้อยเหมือนที่โยนเหรียญไว้
