:::     :::

เรื่องน่าสนใจช่วงหงส์ไร้พ่าย

วันจันทร์ที่ 02 มีนาคม 2563 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,039
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันในการทำสถิติไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาลนี้ หลังจากบุกไปโดน วัตฟอร์ด อัดซะยับเยิน 0-3

นอกจากนี้ยังหยุดสถิติไม่แพ้ใครของทีมไม่ที่ 44 เกมในพรีเมียร์ลีก ชวดที่จะแซงหน้าสถิติเดิมของ อาร์เซน่อล ที่ทำเอาไว้ 49 เกม

แต่ถ้าว่ากันแล้วในภาพรวมถือว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วในรูปแบบของผลการแข่งขันและคะแนนที่คว้าไปเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในปีนี้คงยากที่จะมีอะไรมาหยุดพวกเขาไม่ให้ก้าวไปคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

กว่า 1 ปีเต็มที่ "หงส์แดง" รักษาความยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครและเดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น ก็มีอีกหลายที่น่าสนใจเกิดขึ้นควบคู่กันไปในพรีเมียร์ลีก ทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี

จาก 4 มกราคม 2019 จนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2020 มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกบ้าง ลองไปดูกัน

122 แต้มจาก 135 คะแนนเต็มของ ลิเวอร์พูล


นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2019 หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครอีกเลยจนกระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เท่ากับว่าพวกเขาแพเกมเดียวจาก 45 นัดหลัง

ถึงกระนั้น "หงส์แดง" ยังมีสถิติที่ยอดเยี่ยมคือการเก็บชัยชนะ 18 เกมติดต่อกัน นานที่สุดเท่ากับที่ "เรือใบ" ทำเอาไว้ 

นอกจากนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังพาทีมเก็บได้ถึง 122 คะแนนจาก 135 ในขณะที่เทียบในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เป๊ป กวาร์ดิโฮล่า เก็บได้เพียง 105 คะแนนเท่านั้น 

ในขณะที่ เชลซี ได้ไป 73 แต้ม, ตามด้วย แมนฯ ยูไนเต็ด กับ สเปอร์ส ที่ได้ 68 และ 63 แต้มตามลำดับ เรียกได้ว่าน้อยกว่าเกือบจะครึ่งต่อครึ่งเลย ในขณะที่ทีมที่เก็บแต้มได้น้อยที่สุดคือ ไบรท์ตัน ได้ 38 คะแนน

ด้วยตัวเลขนี้ แม้จะมีหลายสถิติที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันก็ต้องบอกว่ามันเป็นตัวเลขที่สุดยอดมากๆเลย

เจสซี่ ลินการ์ด ยิงไม่ได้ แอสซิสต์ไม่มี

        

ถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของ เจสซี่ ลินการ์ด เลยก็ว่าได้ เมื่อเจ้าตัวยิงหรือแอสซิสต์ไม่ได้เลยในการเล่นพรีเมียร์ลีกนานกว่า 12 เดือนแล้ว

ประตูสุดท้ายของ ลินการ์ด เกิดขึ้นในเกมที่ทีมเสมอกับ เบิร์นลี่ย์ 2-2 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2019 หลังจากนั้นผ่านมารวมเบ็ดเสร็จ 396 วันที่ไม่มีส่วนร่วมกับประตูของทีมในลีก

ยังดีที่ปีนี้ยังมี 2 ประตู 2 แอสซิสต์จากในยูโรปา ลีก, คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ แต่โดยรวมก็ต้องบอกว่าแย่อยู่นั้นแหละ

กลายเป็นที่มาของการต่อว่าอย่างหนักจากแฟนบอล "ปีศาจแดง" ที่ต่างก็พากันกดดันไล่ให้แข้งชาวอังกฤษรายนี้รีบเก็บข้าวของย้ายออกจากทีมไปซะ

จบฤดูกาลนี้จะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่รู้ต้องบอกว่ามันห่วยจริงๆนะ

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้เกมลีกรวม 7 นัด


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นทีมสุดท้ายที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ก่อนที่จะเป็น วัตฟอร์ด ในเกมล่าสุด 

ซึ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้วเกมนี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นนัดสำคัญเลยที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้สามแต้มไปครอง เพราะในบั้นปลายนั้นพวกเขาได้แชมป์ด้วยการมีแต้มเหนือกว่าคะแนนเดียวเท่านั้น

เรียกได้ว่าหากไม่ได้รับชัยชนะในเกมที่เจอกันนั้นแชมป์คงตกเป็นของ "หงส์แดง" ไปแล้ว

หลังจากเกมดังกล่าว ลิเวอร์พูล เดินหน้าโชว์ผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กลับฟอร์มไม่นิ่งเลย โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่แพ้ไปแล้วถึง 6 เกม เมื่อรวมกับช่วงปลายซีซั่นที่แล้วอีกนัดก็รวมเป็น 7 เกม

สิ่งที่เกิดขึ้นก็อย่างที่ตารางคะแนนบอก ลิเวอร์พูล นำหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไกล 22 คะแนน และเตรียมที่จะเข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปครอง

เจมี่ วาร์ดี้ กดไป 28 ประตู มากกว่าทุกคน


แม้ว่าชื่อชั้นของ เจมี่ วาร์ดี้ จะเป็นรอง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เซร์คิโอ อเกวโร่ หรือ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องพังประตูเขาถือว่าไม่เป็นรองเลย

โดยเฉพาะหากนับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2019 จนถึงวันที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เขาคือคนที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดในพรีเมียร์ลีก รวมทั้งสิ้น 28 ประตูด้วยกัน

ในฤดูกาลนี้ ดาวยิงชาวอังกฤษตะบันไปแล้ว 17 ลูก นำเป็นดาวซัลโวร่วมกับ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ซึ่งมีช่วงที่เข้าฝักยิงได้ 8 เกมติดต่อกันด้วย

อันที่จริงตัวเลขน่าจะขยับสูงมากกว่านี้อีกหากมองที่สถิติที่ วาร์ดี้ ยิงไม่ได้ใน 7 เกมหลังที่ลงสนามหรือนานกว่า 2 เดือนมาแล้ว แต่ตัวเลขสถิติยังอยู่เหนือคนอื่น

ถือเป็นคนสำคัญที่ช่วยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ รั้งอยู่ในโซนบนของตารางอย่างเหนียวแน่น และมีโอกาสสูงเลยที่จะเข้าป้ายคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้าไปครอง

พรีเมียร์ลีกเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปแล้วถึง 18 คน


ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เดินหน้าทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมต่อเนื่อง แต่หลายต่อหลายทีมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้จัดการทีม

นับช่วงเวลาราว 1 ปีเศษ พรีเมียร์ลีกมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมรวมทั้งสิ้น 18 คน!

เดวิด ว้ากเนอร์ นายใหญ่ของ ฮัดเดอร์สฟิลด์ คือคนแรกในวันที่ 14 มกราคม 2019 หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกเพียบทั้งไล่ออกหรือหมดสัญญา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมในกลุ่ม "บิ๊ก 6" ที่ทั้ง เชลซี (แฟร้งค์ แลมพาร์ด แทน เมาริซิโอ ซาร์รี่), อาร์เซน่อล (มิเกล อาร์เตต้า แทน อูไน เอเมรี่) และ สเปอร์ส (โชเซ่ มูรินโญ่ แทน เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่) ล้วนเปลี่ยนแปลงกันเกือบหมด

หรือกระทั่ง วัตฟอร์ด ที่ปราบ "หงส์แดง" แดงมา ก็เปลี่ยนผู้จัดการทีมไปถึง 3 คนจาก ฆาบี กราเซีย เป็น กีเก้ ซานเชซ ฟลอเรส และล่าสุดกับ ไนเจล เพียร์สัน ผู้พาทีมเอาชนะนั่นเอง

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไป 3 รายการ


ในช่วง 1 ขวบปีที่ผ่านมาต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมด้วยแชมป์บอลถ้วยถึง 3 รายการ

เริ่มต้นด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พวกเขาฝ่าด่านหนักหนาไม่น้อยทั้ง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, นาโปลี, บาเยิร์น มิวนิค, บาร์เซโลน่า และ สเปอร์ส ในรอบชิงชนะเลิศ ครองจ้าวยุโรปมาครองอย่างยิ่งใหญ่ประทับใจแฟนบอล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ "เจ้าบุญทุ่ม" ถือว่าเป็นเกมรับดับ "มาสเตอร์พีซ" เลยทีเดียว

จากนั้นตามด้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ สโมสรโลก ถือเป็นปีที่เหล่าสาวก "หงส์แดง" มีความสุขอย่างสุดๆ

น่าเสียดายที่ 97 คะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก จบลงด้วยการเป็นแค่รองแชมป์เท่านั้น ทำให้มันเหมือนกับว่ายังขาดอะไรไปสักอย่าง

แต่ท้ายที่สุดแล้วในปีนี้มันคงจะถูกเติมเต็มได้ในที่สุด


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด