:::     :::

คล็อปป์ : ขอลดเงินเดือนผู้เล่นอยู่ เอาเงินไปซื้อนักเตะแพงๆ มันจะแปลกๆนะ

วันจันทร์ที่ 08 มิถุนายน 2563 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,092
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในขณะที่คุณกำลังเจรจาขอลดเงินเดือนผู้เล่นในทีม แต่กลับมีเงิน 50-60 ล้านปอนด์ไปซื้อผู้เล่นใหม่ พวกเขาจะคิดยังไงกันนะ

ไม่บ่อยครั้งนักที่เจอร์เก้น คล็อปป์ จะออกมาพูดถึงนักเตะทีมอื่นที่กำลังมีข่าวกับทีมตัวเอง อาจจะเป็นเพราะทุกครั้งที่คล็อปป์พูด ทุกอย่างที่ออกมามักจะเป็นข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์กีฬาในวันถัดไปเสมอ คล็อปป์จึงต้องระวัง และรักษาท่าทีเอาไว้ เพื่อไม่ให้มีความเสียหายเกิดขึ้นจากคำพูดของเขา


แต่แค่ 2 วัน หลังจากข่าวเชลซี ปาดหน้ากลายเป็นตาอยู่ มัดใจติโม แวร์เนอร์ ให้ปันใจจากหงส์แดง กลายเป็นสิงห์บลู ด้วยการประเค็นค่าเหนื่อยชนิดที่เรียกว่าเกือบจะเท่าตัวจากที่เคยมีข่าวว่าลิเวอร์พูลจะมอบให้ พร้อมทั้งการันตีตำแหน่งตัวจริงให้โดยแฟรงค์ แลมพาร์ด เมื่อบวกกับข้อเสนอที่เชลซีพร้อมมอบให้กับแอร์เบ ไลป์ซิก ต้นสังกัดของแวร์เนอร์ ทุกสิ่งทุกอย่างเลยดูเหมือนจะเทไปทางฝั่งของทีมสิงห์บลูไปเสียหมด 


เกมเปลี่ยน ไม่ใช่ลิเวอร์พูลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเชลซีต่างหากที่กำลังจะได้หัวหอกทีมชาติเยอรมนีไป


ท่ามกลางความงุงงงของแฟนบอล ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมลิเวอร์พูลถึงยอมปล่อยแวร์เนอร์ให้หลุดจากมือไปได้ ทั้งๆที่นักเตะก็นั่งยัน นอนยัน ว่ามีใจให้กับลิเวอร์พูลทีมเดียวเท่านั้น ทีมเจรจาซื้อขายไม่เก่ง? หรือประมาทจนเกินไป? ซ้ำร้ายแฟนบอลบางคนก็พาลคิดไปถึงการที่เจ้าของไม่ได้มีความจริงในในการลงทุนกับทีม จนเป็นที่มาของแฮชแท็ก #FSGOUT กลับมาอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้เงียบเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา เมื่อเจ้าตัวตอบรับคำเชิญจากสถานี สกายสปอร์ตส์ เยอรมนี มาเป็นแขกรับเชิญเพื่อพูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ


และนี่ คือสิ่งที่คล็อปป์พูดครับ  ...


"ในวงการฟุตบอล มีนักเตะเก่งๆมากมายเต็มไปหมด ... ติโม แวร์เนอร์ก็ใช่, ไค ฮาเวิร์ดซ์ก็เก่ง"


"โอกาส และช่วงเวลาที่เหมาะสม มันต้องมาพร้อมกัน ... 6-7 สัปดาห์ก่อนเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะกลับมาเตะฟุตบอลกันได้มั้ยในปีนี้ โอเค ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเรากำลังจะกลับมาลงสนามได้"


"เรากำลังทำทุกอย่างให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่เลย เราแค่พยายามหาทางออก และก็ทำมัน เราไม่รู้เลยจริงๆว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร สถานการณ์จริงๆมันจะดีขึ้นหรือไม่"


"เรื่องการซื้อขาย คุณก็เห็นข่าวต่างๆอยู่นะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยากได้คนนี้ หรือเชลซีกำลังจะได้คนนั้น ... แต่สำหรับเรา ลิเวอร์พูล คงยังไม่มีอะไรแบบนั้นในตอนนี้"


"กับสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเราอยากบริหารงานให้มันมีความเสี่ยงน้อย และปลอดภัยที่สุด เราต้องอดทน ผมไม่รู้เลยจริงๆว่ารายได้เราจะหดหายไปมากขนาดไหน อย่าลืมว่าต่อไปนี้เราจะต้องเตะในสนามแบบเปล่าๆนะ"


"ทุกๆสโมสรต่างเจอปัญหาแบบเรา คือ สูญเสียรายได้ที่ควรได้จากการเข้าชม นี่เรายังต้องจ่ายเงินคืนแฟนบอลที่ซื้อตั๋วมาแล้วอีก ไม่รวมถึงการเปิดขายตั๋วปีที่เราก็ยังไม่สามารถทำได้ ผมไม่รู้ว่าเราจะต้องเตะแบบไม่มีคนดูไปอีกนานเท่าไหร่ 10 เกม หรือ 15 เกม มันคงไม่น้อยไปกว่านี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป รายได้ที่ควรได้มันหายไป"


"เราต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคนได้เข้าใจ ถ้าฟุตบอลเตะไม่ได้อีก เราก็อาจจะต้องลดเงินเดือนพวกเขา ซึ่งมันคงแปลกหากขอลดเงินนักเตะแล้วเอาเงินไปลงทุนหานักเตะใหม่ในราคา 50-60 ล้านปอนด์ เราคงต้องนั่งคุยเรื่องนี้กันยาวๆ"




คล็อปป์อธิบายเหตุผลที่แฟนๆสงสัยได้อย่างชัดเจน และตรงประเด็นทุกอย่าง


ในแง่ของฟุตบอล การเสริมทีม หรือปรับปรุงทีมให้แข็งแกร่งขึ้นในทุกๆปี เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ในแง่ของการบริหารจัดการแล้ว ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้ มันยากมากๆ โดยเฉพาะเมื่อปัจจัยหลักอย่าง "เงิน" ต้องหดหายไปจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19


ลิเวอร์พูลมีภาระต้องจ่ายเงินเดือนลูกจ้างทุกคนในสโมสร รวมถึงนักเตะ และสตาฟฟ์โค้ชทั้งหลาย ปีละ 310 ล้านปอนด์ หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 26 ล้านปอนด์ !!


ถ้าแปลความให้ลึกลงไป ตั้งแต่เกมสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลลงสนาม คือ เกมเปิดบ้านเอาชนะบอร์นมัธ 2-1 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะประกาศยุติการแข่งขันชั่วคราวในอีก 5 วันต่อมา ลิเวอร์พูลเสียเงินไปกับค่าจ้างพนักงานแล้วทั้งสิ้น 78 ล้านปอนด์ สวนทางกับรายได้ที่แทบจะเป็น 0 !!


และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีวันที่เงินทุนหมุนเวียนที่มีจะต้องหมดไป อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว เท่านั้น


หน้าที่ของทีมบริหาร คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้ทีม สามารถควบคุมสถานการณ์แบบนี้ให้ยาวนานที่สุด เพื่อรอวันสิ้นสุด


และนี่แหละครับ คือ สาเหตุจริงๆที่ลิเวอร์พูลต้องขอโทษ ขอโพย แวร์เนอร์ ก่อนตอบปฎิเสธนักเตะไปแบบสุภาพว่า "พี่ไม่ไหวจริงๆน้องเอ๊ย"


เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ นี่เองงงงงงงงงงงง 

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด