:::     :::

แท็คติคที่สับสนกับผลงานที่ย่ำแย่

วันจันทร์ที่ 08 มิถุนายน 2563 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,532
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกือบ 2 ทศวรรษที่ เชลซี ยกระดับขึ้นมาเป็นสโมสรระดับหัวแถวไม่ใช่แค่ของอังกฤษ แต่รวมถึงในยุโรป

ที่มาก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน จากพลังเงินของ โรมัน อบราโมวิช ที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรตั้งแต่ปี 2003 นั่นเอง

จากวันนั้นถึงวันนี้ "สิงห์บลูส์" เปลี่ยนผู้จัดการทีมไปแล้วถึง 16 คนจนมาถึง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคุมทีมถึง 4 ปีมาก่อน

นับตั้งแต่เข้าสู่ยุค มิลเลี่ยนแนร์ คนที่คุมทีม เชลซี ยาวนานที่สุดคือ 4 ปี และชายคนนั้นมีชื่อว่า เคลาดิโอ รานิเอรี่


ถูกต้องครับ คือคนเดียวกับที่พา เลสเตอร์ ซิตี้ เถลิงบัลลังค์แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษเมื่อปี 2015/16 ชนิดหักปากกาเซียนทั่วทั้งจักวาลมาแล้ว

แต่การคุมทีมในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์นั้นไม่ประสบความสำเร็จอะไร แม้ว่าตัวเลขสถิติคุมทีมที่ใช้ได้กับการคุมทีม 199 เกม ชนะ 107 เสมอ 46 แพ้ 46 

3 ปีแรกกับการคุมทีมต้องบอกว่าผลงานก็ธรรมดาแม้จะเกาะกลุ่มหัวตารางแต่ต้องรับว่าโอกาสลุ้นแชมป์นั้นยาก ส่วนบอลถ้วยก็ลุ้นกันเป็นปีๆไป

แต่ทันทีที่ได้พลังเงินของ "เสี่ยหมี" ต้องบอกว่า เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก็เหมือนกับตกหนูถังข้าวสาร เพราะแค่ซัมเมอร์เดียวเขาซื้อนักเตะไปร่วม 100 ล้านปอนด์กับนักเตะ 14 คน มากกว่าที่ซื้อมาร่วมทีม 3 ปีก่อนหน้านี้ซะอีก

      

ทีมยกระดับขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยมด้วยการก้าวมาคว้ารองแชมป์ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ซึ่งเข้าใจได้เพราะฤดูกาล 2003/04 อาร์เซน่อล คว้าแชมป์ไปแบบไร้พ่าย รวมถึงกรุยทางถึงรอบตัดเชือกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกด้วย

ทว่าด้วยชื่อชั้น, โปรไฟล์ และฝีมือไม่เป็นที่พอใจของ โรมัน อบราโมวิช ประกอบกับ โชเซ่ มูรินโญ่ เพิ่งระเบิดฟอร์มพา ปอร์โต้ เถลิงบัลลงค์ยุโรป เลยถูกดึงตัวมาแทน

บางคนอาจจะมองว่าหากได้โอกาส เคลาดิโอ รานิเอรี่ ต่อทีมอาจจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะดูจากผลงานในปีแรกกับการมาของ "เสี่ยหมี" ต้องบอกว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน

แต่นั่นมาจากมุมมองภายนอก แต่มุมมองภายในโดยเฉพาะกับนักเตะในทีมอย่าง จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซงเบงค์ ที่อยู่กับนายใหญ่ชาวอิตาลีมาตั้งแต่เริ่มคุมทีมจนกระทั่งสุดท้ายในรั้วสีน้ำเงิน กลับไม่ได้มองแบบนั้น


ในฐานะคนทำงานใกล้ชิดอดีตดาวยิงทีมชาติฮอลแลนด์พูดถึงเจ้านายเก่าว่าสร้างความสับสนอย่างมากจากแท็คติคที่วางในแต่ละเกมรวมถึงระหว่างเกมด้วย

"ย้อนกลับไปตอนนั้นผมอยู่ในเส้นทางที่ดีเพราะผมยิงประตูได้มากมายและเขาก็ไม่ได้มีเงินที่จะหาใครมาแทนที่ผม" ฮัสเซลเบงค์ กล่าว

"ผมเชื่อว่าทุกคนควรจะได้โอกาสปรับตัวและนั่นเป็นอาวุธในการเปลี่ยนรูปแบบการเล่น แต่เขาทำมัน 4-5 ครั้งต่อเกมซึ่งมั่นทำให้เราสับสน"


"4 ปีภายใต้การคุมทีมของเขาเป็นอะไรที่ยากลำบาก, เราเป็นทีมที่ดีมากกว่าที่เห็นจากอันดับในตารางซึ่งเราควรจะอยู่สูงกว่านี้ เขาเป็นคนที่ดีและผมก็ไม่คิดว่าใครจะไม่ชอบเขา - ก็แค่บางไอเดียที่มันไม่เวิร์ค"

"เราไม่เคยรู้เลยว่าเรากำลังเล่นในระแบบไหน, แม้กระทั่งตอนซ้อมในวันศุกร์ที่ต้องใช้ระบบเดียว เช้าวันถัดมาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก"

เคลาดิโอ รานิเอรี่ โดนปลดออกจากตำแหน่งหลังจบฤดูกาล ในซีซั่นถัดมา โชเซ่ มูรินโญ่ ยังใช้เงินอีกเกือบ 100 ล้านปอนด์ นักเตะที่ถูกดึงเข้ามาปีก่อนหน้าอย่าง เอร์นาน เครสโปร และ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน โดนปล่อยยืมตัวออกไป, อาเดรียน มูตู ก็แทบไม่ได้ลงเล่น มีแค่ โคล้ด มาเกเลเล่, โจ โคล และ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ที่เป็นกำลังหลัก


สุดท้าย เชลซี สมปรารถนาก้าวไปคว้าแชมป์ทันทีตั้งแต่ปีแรกของ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นการคว้าแชมป์ลีกหนแรกของสโมสรในรอบ 50 ปีเลย แถมด้วยแชมป์ลีก คัพอีกหนึ่งรายการ

จะบอกว่า รานิเอรี่ โชคร้ายที่ไปเจอปีทองของ "ปืนใหญ่" ที่แข็งแกร่งถึงขนาดไร้พ่ายก็ได้ ซึ่งจะว่าไปผลงานโดยรวมของทีมก็ดีขึ้นจากพลังเงินของ "เสี่ยหมี" เพียงแต่ว่าการจบด้วยมือเปล่ากับการใช้เงินขนาดนั้น คนจ่ายย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา

อีกอย่างก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยจากการออกมาพูดของ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ซึ่งเรื่องแบบนี้คงไม่เอามาพูดเล่นๆแน่

และเมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาแล้วทีมได้แชมป์ทันทีมันก็กลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า เคลาดิโอ รานิเอรี่ ไม่ดีพอกับตำแหน่งกุนซือของ เชลซี นั่นเอง



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด