:::     :::

ผ่า 5 กลยุทธ์แตกทัพเรือ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ได้รับคำชมอย่างมากกับผลงานในรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ ที่พลิกชนะ แมนฯ ซิตี้ ไปได้สวยงาม 2-0

เป็นชัยชนะที่พลิกล็อกอย่างมากเพราะก่อนหน้านี้ แมนฯ ซิตี้ ไล่ยำ อาร์เซน่อล มาตลอด 7 นัดหลังสุดที่เจอกัน เหมือนบอลคนละดิวิชั่นที่สู้กันไม่ได้เลย 

เพราะเหตุใด อาร์เซน่อล จึงหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการจมเรือใบได้สำเร็จพร้อมคว้าตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างองอาจ ตรงนี้มีคำตอบ 


1 - การวางหมากชั้นยอดของ มิเกล อาร์เตต้า 

มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนผู้เล่น 5 คนจากนัดชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ในพรีเมียร์ลีก แต่ยึดระบบ 3-4-3 เช่นเดิม 

การเปลี่ยน 5 คนไม่ได้ทำให้ศักยภาพดร็อปลงเพราะ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, ดานี่ เซบายอส, เอคตอร์ เบเยริน และ ชโคดราน มุสตาฟี่ เป็นตัวหลักที่เล่นมาตลอดช่วงหลัง ทำให้ชุดตัวจริงที่เวมบลีย์ "แกร่งกว่า" วันโค่นหงส์แดงด้วยซ้ำ

มีเพียง เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนลส์ ที่ทำเซอร์ไพรส์ลงเล่นในตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย พร้อมขยับ คีแรน เทียร์นี่ย์ เข้าไปยืนเป็นเซนเตอร์ร่วมกับ ดาวิด ลุยซ์ และ ชโคดราน มุสตาฟี่

มิเกล อาร์เตต้า ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่า แมนฯ ซิตี้ ก็เหมือนทุกทีมที่มีจุดอ่อน และเขาต้องหาให้เจอเพื่อโจมตี ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางรับมือจุดแข็งของซิตี้ซึ่งมีอยู่เพียบให้ได้


อาร์เตต้า ตัดสินใจถูกต้องกับการให้ลูกทีมเล่นตามศักยภาพตัวเองที่เป็นรองและต้องเน้นรับมากเป็นพิเศษ ส่วนจังหวะเกมรุกอาศัยการโต้กลับเป็นหลัก และเล่นให้น้อยจังหวะที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ในช่วงที่ต้องตั้งรับ ผู้เล่นเกมรุก 3 คนทั้ง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และ นิโกล่าส์ เปเป้ ต่างลงมาช่วยทั้งหมด ขณะที่ กรานิต ชาก้า กับ ดานี่ เซบายอส ก็คอยปัดกวาดและกีดขวางโอกาสจ่ายบอลของซิตี้

ทุกคนเล่นกันอย่างมีวินัยและอดทน ไม่เสียสมาธิแม้ต้องตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ เมื่อโฟกัสไม่หลุด การเล่นก็เป็นไปตามแผนและยืนหยัดได้ตลอด 90 นาที แถมจังหวะที่มีโอกาสก็ทำได้กับ 2 ประตูของ โอบาเมย็อง 

ท้ายที่สุดแล้ว มิเกล อาร์เตต้า สามารถทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้สำเร็จกับการเอาชนะ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ได้ในช่วงเวลาเพียง 4 วัน 


2 - เกมรับนำชัย 

ก่อนเกมที่เวมบลีย์ อาร์เซน่อล แพ้ แมนฯ ซิตี้ ตลอด 7 นัดหลังสุดที่เจอกัน เสียประตูรวม 20 ประตู และยิงคืนได้เพียง 2 ประตู เรียกได้ว่าสถิติเป็นรองชัดเจน และคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับหลายคนหาก แมนฯ ซิตี้ จะเป็นฝ่ายเข้าชิงชนะเลิศได้

ทว่านัดนี้ อาร์เซน่อล เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่ง ยืนตำแหน่งกันดีมาก และเคลียร์จังหวะอันตรายในเขตโทษนับครั้งไม่ถ้วน

หากไม่นับช่วง 15 นาทีแรกที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ขึงฝ่ายเดียวด้วยการครองบอลมากถึง 93 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาอื่น อาร์เซน่อล ตั้งรับพลังบุกของเรือใบสีฟ้าได้อย่างยอดเยี่ยมและบีบให้ทีมที่มีเกมรุกดุดันของ เป๊ป ได้ยิงตรงกรอบเพียงครั้งเดียวตลอด 90 นาที

เรือใบสีฟ้า เปิดบอลเข้าเขตโทษได้หลายครั้ง แต่แผงหลังปืนใหญ่ก็สามารถเคลียร์ได้ทุกจังหวะ ดาวิด ลุยซ์ ที่เคยมีฝันร้ายในเกมพรีเมียร์ลีกนัดรีสตาร์ทที่แพ้ต่อ แมนฯ ซิตี้ 0-3 สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับคืนมาได้ด้วยฟอร์มการเล่นอันสุดยอด


ลุยซ์ ชนะดวลกลางอากาศตลอด 4 ครั้ง, เคลียร์บอลได้มากกว่าทุกคนที่ 11 ครั้ง ตัดบอลได้อีก 4 ครั้ง และบล็อกลูกยิงได้อีก 2 ครั้ง นอกจากนี้เกือบมีแอสซิสต์หลังดันขึ้นมาตัดบอลแดนกลางก่อนจ่ายทะลุให้ โอบาเมย็อง หลุดเดี่ยวช่วงต้นเกม แต่น่าเสียดายที่หัวหอกปืนโตยิงไปตรงตัว เอแดร์ซอน 

ส่วนคนอื่นในเกมรับทั้ง มุสตาฟี่, เทียร์นี่ย์, เบเยริน และ เมทแลนด์-ไนลส์ ก็ต่างทำหน้าที่ได้ดี แม้จะมีจังหวะผิดพลาดบ้างเล็กน้อยในต้นเกม แต่ภาพรวมช่วยเกมรับได้น่าประทับใจ คอยซ้อนคอยดักช่วยกันตลอด ไม่มีใครต้องรับภาระหนักเพียงคนเดียว 

ครั้งล่าสุดที่ อาร์เซน่อล สามารถเก็บคลีนชีตได้ในการเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2015 ที่บุกชนะ 2-0 และเกมนั้นก็เป็นครั้งล่าสุดที่บุกชนะทีมในกลุ่มบิ๊กซ์ได้จนถึงปัจจุบัน

3 - มีจังหวะแล้วทำได้

ด้วยการครองบอลไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์และเป็นฝ่ายตั้งรับส่วนใหญ่ อาร์เซน่อล จึงมีโอกาสลุ้นทำประตูเพียง 4 ครั้ง 

ทว่าเป็น 4 ครั้งที่คุณภาพเพราะเข้ากรอบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจังหวะแรกของ โอบาเมย็อง ที่หลุดเดี่ยวไปยิงติดเซฟ ก่อนแก้ตัวได้ในอีก 2 จังหวะที่เข้าดีดข้างเท้าจากลูกเปิดของ นิโกล่าส์ เปเป้ และหลุดเดี่ยวไปเผาขน เอแดร์ซอน หลัง คีแรน เทียร์นี่ย์ เบิ้ลบอลข้ามแนวรับซิตี้ให้อย่างสวยงาม

ส่วนอีกจังหวะเป็นลูกเตะมุมที่ ชโคดราน มุสตาฟี่ ได้โขกเสาแรกเกือบเสียบใต้คานหาก เอแดร์ซอน ไม่ซูเปอร์เซฟปัดปลายมือออกหลัง

สำหรับ โอบาเมย็อง ยังคงเป็นนักเตะที่ไว้ใจได้ในเรื่องการจบสกอร์เพราะ 2 ประตูล่าสุดทำให้เขายิงรวม 66 ประตูจากทุกรายการนับตั้งแต่ลงเล่นในอังกฤษนัดแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 ซึ่งมีเพียง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (68 ประตู) ที่ยิงมากกว่าเขาในช่วงเวลาเดียวกัน


นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะอาร์เซน่อลคนที่ 4 ที่ยิงประตูเบิ้ลที่สนามเวมบลีย์ต่อจาก เร็ก ลูอิส (1950 เอฟเอ คัพรอบชิงฯ), ชาร์ลี นิโคลัส (1987 ลีก คัพรอบชิงฯ) และอเล็กซิส ซานเชซ (2015 เอฟเอ คัพ รอบรองฯ)

ผู้เล่นเกมรุกคนอื่นอาจไม่มีสกอร์ในนัดนี้ แต่ก็ช่วยเหลือทีมอย่างเต็มที่ ลากาแซ็ตต์ เล่นตำแหน่งหน้าเป้าก็จริงแต่ลงไปช่วยเกมรับบ่อยครั้ง สามารถเก็บบอลจังหวะสองจากแนวรับเพื่อนร่วมทีมเซตขึ้นมาได้ตลอด ครองบอลเหนียวแน่น และเอาตัวรอดได้เยี่ยม แถมเล่นงาน อิลคาย กุนโดกัน กองกลางคนสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ จนเล่นไม่ออก ขณะที่ นิโกล่าส์ เปเป้ ก็มีแอสซิสต์สุดสวยในประตูแรกซึ่งทำให้สถานการณ์ของทีมได้เปรียบทันที 


4 - ตัวละครลับ เมทแลนด์-ไนลส์

เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนลส์ ได้โอกาสลงตัวจริงชนิดไม่มีใครคาดคิดเพราะก่อหน้านี้ ตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย มิเกล อาร์เตต้า เลือกใช้ คีแรน เทียร์นี่ย์ หรือไม่ก็ บูคาโย่ ซาก้า 

อาร์เตต้า จำเป็นต้องขยับ เทียร์นี่ย์ ไปเล่นข้างในแทนตำแหน่งของ เซอัด โคลาซินัช ที่พลาดในเกมกับ สเปอร์ส ตัวเลือกวิงแบ็กซ้ายจึงเหลือเพียง ซาก้า แต่ด้วยการที่แข้งดาวรุ่งวัย 18 ปีตัวเล็กและกระดูกบอลยังอ่อน อาจเจอปัญหาในการรับมือเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ที่มีทั้ง ริยาด มาห์เรซ และการเติมเกมรุกของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ทั้งแกร่งและทรงพลัง 


จุดที่ทำให้ เมทแลนด์-ไนลส์ ถูกเลือกลงเล่นในนัดนี้คือผลงานตอนลงเป็นสำรองในเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน แล้วรับมือตัวถึกอย่าง อดาม่า ตราโอเร่ ได้เป็นอย่างดีเพราะเป็นนักเตะที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว อีกทั้งความเร็วก็พอจะวัดกับทุกคนได้เช่นกัน

ผลงานตลอด 90 นาทีต้องบอกว่า "3 ผ่าน" เพราะช่วยเกมรับฝั่งซ้ายได้หลายจังหวะ แข็งแกร่ง มีความเร็ว และไม่เสียบอลง่ายๆ สามารถต่อบอลกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างไม่ติดขัด และมีจังหวะเติมเกมรุกให้เห็นอยู่บ้าง เพียงแต่การเปิดบอลสุดท้ายยังไม่แม่นยำมากพอ 


5 - พลังแฝงในเอฟเอ คัพ 

การเป็นแชมป์มากสุด 13 สมัยของ อาร์เซน่อล ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่รายการนี้คือรายการที่ทำผลงานได้ดีจริงๆ แม้ในช่วงเวลาที่ไม่น่าจะเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้

อาร์เซน่อล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ 30 สมัยเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สามารถไปต่อจนถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่ 21 ขณะที่ผีแดงจอดป้ายในเกมเมื่อวันอาทิตย์หลังพ่ายต่อ เชลซี 1-3

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทีมปืนใหญ่ กวาดแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองถึง 6 สมัยในปี 2002, 2003, 2005, 2014, 2015 และ 2017 และแพ้เพียงครั้งเดียวในรอบชิงชนะเลิศช่วง 20 ปีหลังสุดที่แพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ในปี 2001  


ความปราชัย 7 นัดรวดต่อ แมนฯ ซิตี้ ถูกหยุดลงด้วยชัยชนะล่าสุดในเอฟเอ คัพ และก่อนหน้านี้ในปี 2017 ที่ได้แชมป์สมัยล่าสุด อาร์เซน่อล ก็เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงต่อเวลา 2-1 ของรอบตัดเชือก ก่อนชนะ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ และบังเอิญอย่างยิ่งที่รอบชิงชนะเลิศปีนี้ได้พบกับ "สิงห์บลูส์" อีกครั้ง

การผ่าน แมนฯ ซิตี้ ได้ในรอบตัดเชือกเป็นการยืนยันอีกครั้งว่า เอฟเอ คัพ คือรายการที่ อาร์เซน่อล ได้ลุ้นอยู่ตลอดและมีโอกาสยืดสถิติคว้าแชมป์มากสุดให้มากขึ้นไปอีก



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด