:::     :::

บาร์ซ่า จะหักด่าน บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างไร ?

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึกแชมเปี้ยนส์ลีก รอบควอเตอร์ไฟนั่ล ลิสบอน, บาร์เซโลน่า ต้องโคจรามาเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่แกร่งทั่วแผ่น จนใครๆพากันมองว่าพวกเขาจะไม่รอด มันจริงหรือ ? บาร์ซ่า ไม่มีโอกาสหักด่าน เสือใต้ เลยยังงั้นหรือ ?

บาร์เซโลนิสต้า ทั่วโลกคงรู้สึกคล้ายๆกันว่าชีวิตช่วงนี้มีสีสันมากขึ้น มองไปทางไหนก็สดใสกว่าเดิม

จริงอยู่ว่าการเอาชนะ นาโปลี และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นเรื่องที่คาดหมายไว้แต่แรกแล้ว ทว่าเวลาเป็นผู้ชนะ ความรู้สึกที่ได้กลับมาจริงๆนั้นย่อมยอดเยี่ยมกว่ามาก มันทำให้เดินไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง แตกต่างจากช่วงเดือนที่แล้วที่ต้องเสียแชมป์ ลา ลีกา ให้ เรอัล มาดริด คู่ปรับตลอดกาล


ยิ่งบนเส้นทาง แชมเปี้ยนส์ลีก ตอนนี้ ซีเนดีน ซีดาน กับเด็กๆ กระเด็นหลุดพ้นเส้นทางไปแล้วด้วยน้ำมือ แมนฯซิตี้ ตัวเต็งจากอังกฤษ บาร์เซโลนิสต้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าพอจะกู้หน้ากลับมาได้บ้าง เพราะโดยปกติแล้ว ‘โลส บลังโกส’ ถือเป็นเต้ยในรายการนี้ ทั้งผลงานแชมป์ 3 สมัย

ติด, แชมป์สูงสุด 13 สมัย และหากไม่นับ 2 ฤดูกาลหลังมานี้ ย้อนไป 8 ปีก่อนนั้น ราชันชุดขาว ไม่เคยไปได้ต่ำกว่ารอบรองชนะเลิศเลย 

มาปีนี้ บาร์ซ่า มาได้ไกลกว่า เรอัล มาดริด แล้ว ในรายการที่จะพูดว่าพวกเขาตั้งความหวังไว้สูงสุดก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ฤดูกาลหลังมานี้ที่เจ็บหนักมาก จากการตกรอบอย่างสุดช็อคด้วยน้ำมือของ ‘หมาป่า’ โรม่า และ ลิเวอร์พูล  

อย่างไรก็ตาม มีจำนวนไม่น้อยที่มองว่าเส้นทางของ บาร์เซโลน่า ก็คงจะสุดแค่นี้ เพราะรอบควอเตอร์ไฟนั่ล ซึ่งจะเล่นกันที่กรุงลิสบอน , โปรตุเกส พวกเขาต้องดวลกับ บาเยิร์น มิวนิค

ต้องยอมรับว่านาทีนี้ บาร์ซ่า เป็นรอง ‘เสือใต้’ อยู่พอสมควร เมื่อเทียบจากฟอร์มการเล่นตลอดทั้งฤดูกาลและขุมกำลัง 


ขุมกำลังหลักของ บาร์ซ่า อาจไม่ได้เป็นรอง บาเยิร์น มิวนิค ในทุกตำแหน่ง แต่มองโดยภาพรวมแล้ว พูดได้ว่าฝั่ง ‘เสือใต้’ ลงตัว และสมดุลกว่า ขณะที่ขุมกำลังเชิงลึกถือได้ว่าใกล้เคียงกัน 

จุดนึงที่ บาร์ซ่า ดูจะเบาใจได้บ้างคืออาการบาดเจ็บข้อเท้าของ แบ็งฌาแมง ปาวาร์ แบ็กขวาทีมชาติฝรั่งเศสที่ยัง 50/50 ว่าจะฟิตทันลงเล่นในเกมนี้หรือไม่ ถ้าหากไม่ไหว โจชัวร์ คิมมิช ก็จะถูกถอยลงมาเล่นแทนทำให้มิดฟิลด์คู่กลางจะไม่ใช่ตัวจริงที่ ฟลิค ใช้งานในช่วงหลัง 

คาดว่า ตีอาโก้ อัลกานตาร่า ที่กำลังมีข่าวกับ ลิเวอร์พูล จะได้รับโอกาสลงยืนตัวจริงกับ เลออน โกเร็ตซ์ก้า แต่ถึงอย่างนั้นโมเดลนี้ก็คือชุดล่าสุดเพิ่งถล่ม เชลซี ขาดลอย 4-1 ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า 

ในแผงหลัง หาก เซเตียน มี ยอร์ดี้ อัลบา ด้าน บาเยิร์น ก็มี อัลฟองโซ่ เดวี่ส์ เช่นกัน และฝ่ายหลังดูว่าจะร้อนแรงกว่าด้วย 

เดวี่ส์ ถือเป็นอาวุธร้ายของ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ทำให้การเล่นของเขาทำได้ง่ายดายไปหมด แม้ในความเป็นจริง เด็กหนุ่มวัย 19 รายนี้ยังมีปัญหาเรื่องการยืนตำแหน่งก็ตาม แต่ด้วยสปีดที่จัดจ้านของเขาทำให้สามารถแก้ไขความผิดพลาด สกัดในจังหวะสำคัญได้ทันเวลาอยู่เสมอ 


ในพาร์ทของเกมรุกก็เช่นกัน เดวีส์ แข็งแรงและฟิตมาก ทำให้สามารถขึ้นลงทางกราบ เติมเกมรุก ช่วยเกมรับได้อย่างสบายๆ การเปิดบอลของเขาก็ถือว่าอันตราย แถมยังทำได้ดีในสถานการณ์ตัวต่อตัวอีกด้วย

เดวี่ส์ เป็นแบ็กซ้ายก็จริง แต่เขาคือคนที่ เซเตียน ต้องพยายามหยุดยั้งให้ได้ และงานหนักก็น่าจะตกเป็นของ เนลซอน เซเมโด้ 

ในเกมรุก บาเยิร์น มิวนิค มีสุดยอดสไตร์เกอร์อย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ยิงไปแล้ว 13 ประตูในรายการนี้ อีกทั้งฟอร์มยังคงเส้นคงวามาตลอด 

จุดเด่นของดาวเตะโปแลนด์นั้นมีหลากหลาย แข็งแกร่งในจังหวะปะทะ มีความเร็ว จบสกอร์ได้เฉียบคมส่วนลูกกลางอากาศก็ทำได้ดี มีประสบการณ์สูง แถมยังฉลาดเป็นกรด พูดได้ว่าหัวหอกโปลคือฝันร้ายของกองหลังและผู้รักษาประตูทุกๆคนเลยก็ว่าได้ 


นอกจาก เลวาน แล้ว เสือใต้ ยังมีจอมเก๋าอย่าง โธมัส มุลเลอร์ อีกรายที่อันตรายอย่างมาก แม้เจ้ามึลจะไม่ใช่นักเตะที่มีสปีดจัดจ้าน หรือเลี้ยงบอลเก่งกาจ แต่จุดแข็งคือวิชั่นส์ในเกม ซึ่งหาได้ยากยิ่งสำหรับนักฟุตบอลสมัยนี้

มุลเลอร์ มองเกมอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าจะต้องทำอะไรเพื่อสร้างโอกาสให้กับทีม ที่เหนือชั้นคือเขาไม่ต้องเป็นใช้พละกำลังมากมายอะไร บางครั้งแค่จังหวะสะกิดบอลเพียงหนึ่งจังหวะ หรือเคาะบอลสั้นๆก็เปลี่ยนเป็นโอกาสได้แล้ว 

จุดเด่นอีกอย่างของ มุลเลอร์ ก็คือการสร้างพื้นที่ เขาเป็นคนที่สามารถสร้างพื้นที่ให้กับเพื่อนได้เสมอๆ มีลูกจ่ายที่เหนือความคาดหมาย และปีนี้ก็ท็อปฟอร์มอย่างมากด้วยการทำลายสถิติแอสซิสต์สูงสุดใน บุนเดส ลีกา ที่ 21 ลูก 

ความพิเศษคือ โมลเลอร์ มีเคมีที่เข้ากันกับ เลวานดอฟสกี้ อย่างมาก ประสานงานอย่างลงตัว นอกจากนี้การที่อยู่กับทีมมานานทำให้เขาสามารถที่จะปลุกเร้าเพื่อนๆ เป็นผู้นำทีมซึ่งจุดนี้ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

ฟลิค ชื่นชอบเล่นในระบบ 4-2-3-1 เป็นหลัก แต่เวลาเทิร์นเป็นเกมรุก จะปรับเป็น 3-4-3 เดวี่ส์ กับ ปาวาร์ ซึ่งในคืนวันศุกร์อาจเป็น คิมมิช จะดันขึ้นสูงไปเล่นเป็นตัวริมเส้น  ขณะที่ ติอาโก้ อัลกานตาร่า จะม้วนลงต่ำมายืนเป็นเซนเตอร์แบ็กร่วมกับ เยโรม บัวเต็ง และ ดาวิด อลาบา 

มุลเลอร์ จะขยับเข้าลงต่ำพื่อสร้างเกมอยู่ตรงพื้นระหว่างกลางสนามจนถึงหน้ากรอบเขตโทษ ขณะที่ตัวริมเส้นซึ่งถือเป็นอาวุธร้ายอย่าง นาบรี้ กับ โกมอง (เปริซิช) จะขยับเข้าไปเล่นตรงกลางแถวหน้ากรอบเขตโทษ 

นั่นเท่ากับว่าเวลารุกเต็มสูบ บาเยิร์น มิวนิค จะมีตัวผู้เล่นอยู่ในแดนคู่ต่อสู้มากถึง 7 คนเลยทีเดียว 

จุดอ่อนของ บาเยิร์น มิวนิค ชุดนี้หาได้ค่อนข้างยากทีเดียว ความสูงของ อลาบา ถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานเซนเตอร์ฮาล์ฟทั่วไป อาจเป็นปัญหาได้ หากเจอกองหน้ารูปร่างสูงใหญ่ที่เล่นลูกกลางอากาศดี 

แต่นั่นไม่ใช่คาแรกเตอร์ในเกมรุกของ บาร์เซโลน่า ซึ่งสิ่งที่อาจทำได้คือการกดดันให้คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟของ ‘เสือใต้’ เกิดความผิดพลาด แล้วฉวยโอกาสโจมตี

เจาะลึกลงไปในแผงหลังแล้ว บัวเต็ง เป็นคนที่มีความคล่องตัวน้อยที่สุด หาก บาร์ว่า จะฉวยความโอกาสโจมตีจากความผิดพลาดก็น่าจะมาจากปราการหลังทีมชาติเยอรมันคนนี้ 

แต่ทั้งนี้ บาร์ซ่า จะต้องสร้างสถานการณ์กดดันจน บัวเต็ง ผิดพลาดให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยการเพรสซิ่งที่ดุดัน รวดเร็ว ซึ่งอาจทำได้ไม่ตลอดทั้งเกม

ความมั่นใจของนักเตะบาเยิร์น มิวนิค ส่วนนึงถือได้ว่าเป็นดาบสองคม เกมนี้พวกเขาจะไม่ตั้งรับแน่นอย่างแน่นอน นั่นทำให้ บาร์เซโลน่า มีพื้นที่เล่นเกมรุก แต่การที่ทีมตอนนี้ยังพึ่งพา ลิโอเนล เมสซี่ เป็นหลัก อาจทำให้ถูกอ่านได้ง่าย 


สรุป บาร์ซ่า จะเอาชนะ บาเยิร์น ได้หรือไม่ ? 

คำตอบคือ “เป็นไปได้อยู่แล้ว” มันมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยอยู่พอสมควร 

1 ประสิทธิภาพในเกมรุกกลับมาอีกครั้ง

เกมชนะ นาโปลี 3-1 สร้างความมั่นใจให้กับนักเตะไม่น้อย โดยเฉพาะความเฉียบขาดในเกมรุกที่ปีนี้โดยภาพรวมดูดร็อปลงไป แต่ 3 ประตูที่ยิงยอดทีมจากเมืองเนเปิ้ลส์นั้น คือยากระตุ้นชั้นดี 


2 เดอ ยองก์ กลับมาเล่นได้อย่างท็อปฟอร์ม 

แดนกลางคือพื้นที่ที่จะต้องสู้กันอย่างหนักหน่วง และการที่ได้เห็น แฟร้งกี้ เดอ ยองก์ กลับมาเล่นได้อย่างท็อปฟอร์มอีกครั้ง (ได้คะแนนความสามารถ 9 จาก นสพ. สปอร์ต) นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง 

เกมกับ นาโปลี พูดได้ว่าเป็นเกมที่ดีที่สุด 1 ใน 3 เกมของ เดอ ยองก์ นับแต่ย้ายมาเล่นกับ บาร์เซโลน่า เลยก็ว่าได้ ซึ่งคลายความกังวลให้กับแฟนๆไปได้ไม่น้อยเพราะก่อนหน้านี้เหมือนว่าฟอร์มของมิดฟิลด์ดัตช์ผู้นี้จะดร็อปลงไป 

เดอ ยองก์ ท็อปฟอร์มรวมกับการกลับมาของ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ทำให้ กีเก้ เซเตียน เหลือการบ้านให้ต้องทำตรงกลางเพียงแค่ตำแหน่งเดียวว่าเขาจะเลือกใคร 

อาร์ตูโร่ วีดัล,ริกิ ปุช ,อีวาน ราคิติช หรือ เซร์จี้ โรเบร์โต้ ซึ่งได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมที่ผ่านมา ? ตรงนี้ตัวเลือกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็น โรเบร์โต้ กับ วีดัล


3 ฟอร์มแมตการแข่งขัน น็อคเอาท์ภายในเกมเดียว 

ไม่ว่าจะเก่งและแกร่งแค่ไหน แต่ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลพลิกล็อคได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่ตัดสินกันเพียงแค่ 90 นาที ทั้งยังเล่นกันในสนามกลางที่ปราศจากแฟนบอล

ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่หายนะ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร การที่ไม่ต้องไปเยือน บาเยิร์น มิวนิค ที่เยอรมัน ก็นับเป็นผลดีมหาศาลต่อ บาร์ซ่า เพราะสถิติเกมเยือนทั้งหมด 5 นัด บาร์ซ่า ยังไม่เคยชนะยอดทีมแคว้นบาวาเรียได้เลย โดยเสมอ 2 แพ้ 3  

4 เกมรับที่ดีขึ้น 

เริ่มต้นด้วยนายทวารที่ไว้ใจได้อย่าง แทร์ ชตีเก้น ซึ่งยังคงรักษามาตราฐานการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา กับเกมกับ นาโปลี ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆกับ 1 ประตูที่เสียไปจากจุดโทษ แต่นอกเหนือจากนั้นถือได้ว่านายด่านเยอรมันยังคงสุดยอด 

ต่อมาคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ดี เคราร์ด ปีเก้ คือคนที่เล่นได้อย่างคงเส้นคงวามากที่สุดในฤดูกาลนี้ รวมกับ เกลม็อง ล็องเล่ต์ ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ประตูในเกมกับ นาโปลี ช่วยเรียกความมั่นใจในการเล่นได้อย่างมาก 

นอกจาก 4 ข้อข้างต้นแล้ว ในส่วนระบบการเล่นก็ถือเป็นโจทย์ที่ กีเก้ เซเตียน ต้องตีให้แตกเช่นกันว่าจะเลือกอย่างไร ซึ่งเวลานี้คงไม่หนีไปจาก 4-3-3 กับ 4-3-1-2 ไปได้ 

4-3-3 คือระบบการเล่นล่าสุดที่เอาชนะ นาโปลี มาได้อย่างสวยงาม ขณะที่ 4-3-1-2 คือระบบที่ถูกมองว่าสร้างสมดุลให้กับเกมรุกได้มาก เมื่อปรับให้ อองตวน กริซมันน์ ขยับเข้ามายืนคู่หน้ากับ หลุยส์ ซัวเรซ


กระนั้น ทั้งหมดที่ร่ายยาวมา เหนือสิ่งอื่นใด ก็ยังไม่มีใคร หรือระบบการเล่นไหนที่ ‘กูเล่ส์’ จะฝากความหวังได้มากไปกว่า ลิโอเนล เมสซี่ อีกแล้ว 

ข้อนี้แม้จะถูกค่อนขอดจากฝั่งตรงข้ามอยู่เป็นประจำว่าเอาแต่พึ่งพานักเตะเพียงแค่คนเดียว ทว่ามันก็คือความจริงที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาข้อแก้ตัวหรือซ่อนเร้น 

มันเป็นความโชคดีของ บาร์เซโลน่า ที่มีนักเตะอย่าง เมสซี่ อยู่ในทีม นักเตะทุกคนรู้ แฟนบอลทุกคนรู้ ว่าตราบใดที่ยังมี เมสซี่ อยู่ในสนาม นั่นความหมายว่าทุกอย่างยังมีหวัง

แม้ บาเยิร์น มิวนิค จะแกร่งทั่วแผ่น หรือต่อให้พยายามหาวิธีหยุดยั้งเขา แต่ถ้าหาก ‘คิงเลโอ’ ท็อปฟอร์มขึ้นมา บาร์ซ่า ก็มีโอกาสเป็นผู้ชนะได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ 

เจมส์ ลา ลีกา 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด