:::     :::

เรื่องราวชีวิต จากปากของอัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ (ตอนจบ)

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
1,026
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังจากผ่านพ้นตอนแรกไปแล้ว นี่คือตอนจบของเรื่องราว อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ ช่วงนี้ เรามาติดตามตอนจบของเรื่องราวกัน

ตอนนี้ผมอายุ 19 ปีแล้ว แองเจล น้องสาวของผมอายุ 8 ขวบ ขณะที่ไบรอัน น้องชายของผมอายุ 12 ขวบ กระนั้น ย้อนเวลากลับไป 7 ปีที่แล้ว พวกเขาต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ คุณพ่อทำงานในโรงงานบรรจุไก่ บางครั้ง ท่านต้องออกจากบ้านไปกลางดึก และกลับมาอีกครั้งในกลางวัน ขณะที่คุณแม่,วิคตอเรีย ทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด บางที ท่านอาจจะออกไปราว 3 ทุ่ม ก่อนจะกลับมาอีกครั้งตอน 8 โมงเช้า พวกท่านไม่สามารถหาพี่เลี้ยงเด็กได้ โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่พวกท่านออกไปทำงาน ดังนั้น ขณะที่เพื่อนของผมฝึกซ้อม หรือเล่นวิดีโอเกม ผมต้องอยู่บ้าน เพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อม และร้องเพลงกล่อมเด็ก


ใช่แล้ว นั่นไม่เหมาะกับพัฒนาการด้านลูกหนังของผมเลย แต่ผมก็มีโชคที่มาเข้าข้างเหมือนกัน วันหนึ่ง, เพื่อนของผมออกจากทีมไป และย้ายไปเล่นกับอีกทีมหนึ่ง ที่มีชื่อว่า เอ็ดมอนตัน สไตร์เกอร์ ที่ที่คุณพ่อของเขาเป็นโค้ชอยู่ เขาเอ่ยปากชักชวนผมไปอยู่ด้วย ผมไม่แน่ใจนัก เพราะพวกเขาคือทีมที่มีผลงานแย่ที่สุดในลีกเลย .... แต่ผมก็ดีใจนะที่ตัดสินใจเลือกย้ายไป เพราะคุณพ่อของเพื่อนคนนั้นคือ นิค ฮูโอเซ่ห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเอเย่นต์ส่วนตัวของผม


นิค สามารถพลิกสถานการณ์ของทีม โดยใช้เวลาไม่นาน เขาได้นำผู้เล่นที่ถ่อมตัว และทำงานหนักเข้ามาสู่ทีม เขาเป็นมากกว่าโค้ช แน่นอนว่า เขากลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผมเลย เขารับผมไปฝึกซ้อม และนำมาส่งที่บ้าน เขายังให้อาหารผมด้วย เขาต้องการทำให้แน่ใจว่า ผมจะทำมันออกมาได้ดี เขาเป็นห่วงผมมาก เหมือนกับเป็นพ่ออีกคนเลย


ตอนที่ผมอายุราว 11 ปี ผมยังคงเล่นอยู่กับทีมสไตร์เกอร์ นอกจากนี้ ผมลงทะเบียนเรียนที่เซนต์ นิโคลัส ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ ที่ที่ผมได้ฝึกซ้อมในทุกวัน เด็กๆที่นั่นรักในการเล่นฟุตบอลเหมือนกับที่ผมเป็นเลย แทบไม่มีใครพูดออกมาเลยว่า -วันนี้ไม่อยากเล่น เพราะเหนื่อย- เราเล่นฟุตบอลกันตลอดเวลา โรงเรียนมีสิ่งอำนวยความสะดวกในร่ม ให้เราได้ฝึกซ้อมกันในช่วงฤดูหนาว นั่นเป็นเรื่องดีต่อพัฒนาการของผมเลย


ผมเล่นทีมสไตร์เกอร์ กับเซนต์ นิโคลัส ควบคู่กันไป ผมพยายามฝึกซ้อมให้มากที่สุด เท่าที่สามารถทำได้ กระทั่งเดือนสิงหาคม 2015 เมื่อผมอายุครบ 14 ปี ผมก็ดีพอที่จะเข้าร่วมทีมแวนคูเวอร์ ไวธ์แคปส์ การย้ายออกจากครอบครัวในช่วงเวลานั้น ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก โชคดีที่แวนคูเวอร์ ช่วยเหลือผมในเรื่องที่ผมต้องการ เมื่อผมไม่สามารถเข้าเรียนได้ เนื่องจากการต้องมาฝึกซ้อม พวกเขาก็ลงทุนหาคุณครูสอนพิเศษให้ จากวันแรก จนถึงวันสุดท้าย พวกเขาดูแลผมเสมอมา มันช่วยผมเป็นอย่างมาก ในการเล่นทีมเยาวชน กระทั่งผมก้าวมาเล่นทีมสำรอง แม้ว่าผมเคยสงสัยว่าตัวเองมาสุดทางแล้ว


ตอนนั้น มันเป็นเดือนเมษายน ปี 2016 ผมมีเกมที่ย่ำแย่มาก มันเดินทางมาถึงจุดที่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป อย่างไรก็ตาม มีนักเตะคนหนึ่งที่แก่กว่าผม พยายามให้กำลังใจผม เขามีชื่อว่า ปา-มาดู คาห์ เขาเป็นผู้เล่นที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ผ่านการลงเล่นในลีกนอร์เวย์, สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ รวมถึงลีกกาตาร์, ซาอุดิอาระเบีย และทีมอย่างพอร์ทแลน์ ทิมเบอร์ส เขาเฝ้าชมผลงานของผม และรู้ว่าผมกำลังเจอกับความลำบาก เขาบอกกับผมว่า -เดินหน้าต่อไป ทุกคนล้วนมีเกมที่แย่ ความคิดที่เข้มแข็ง จะช่วยให้เราทำสิ่งต่างๆเป็นผลสำเร็จ-”


ตอนแรกนั้น ผมคิดว่าเขาพูดแบบนั้นออกไป เพราะอยากจะเป็นคนดีต่อคนรอบข้าง แต่คำพูดดังกล่าวนั้น มันติดอยู่ในหัวของผมจริงๆ การเป็นคนที่มีความคิดที่แข็งแกร่ง จะสามารถทำมันได้ ดังนั้น ผมจึงเริ่มเปิดรับคำแนะนำของเขา ผมเดินหน้าสู้ และเริ่มทำผลงานได้ดีขึ้น ในเดือนพฤษภาคม ผมสามารถยิงประตูแรก ในรายการ ยูเอสแอล แชมเปี้ยนชิพ จากนั้น โค้ชของทีมชุดใหญ่อย่างคาร์ล โรบินสัน ก็ได้บอกกับผมว่า -อัลฟอนโซ่ เราอยากให้นายมาฝึกซ้อมด้วย-”


ผมอายุเพียงแค่ 15 ปี ในการฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ผมกล่าวทักทายทุกคนอย่างรวดเร็ว และพยายามให้การเล่นฟุตบอลของผมพูดแทนออกไป กระนั้น พวกเขาเล่นบอลหนัก และเร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเล่นที่นี่ได้หรือไม่ ? ผมยังคงจดจำคำพูดของปา-มาดู คาห์  ผมยังอยากได้ยินมันอีกครั้ง การฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ผมค่อยๆปรับตัวได้ทีละเล็กทีละน้อย เซสชั่นหนึ่งผมต้องเจอกับกัปตันทีม ตัวเขาใหญ่มาก และสูงเกือบ 7 ฟุต ผมกระชากบอลผ่านเขาได้สำเร็จ จากนั้น นักเตะในทีมต่างพูดกันว่า -โอ้ววววววว-”


เด็กตัวผอมจากเอ็ดมอนตัน เพิ่งก้าวมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ และสร้างความอับอายให้กับกัปตันทีม ผมหันกลับไปมองหน้าเขา ซึ่งเขาทำหน้าผิดหวังมาก แม้ทุกคนจะรักในจังหวะนั้น แต่ผมคิดว่า กัปตันคงอยากฆ่าผมแน่นอน ดังนั้น ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ ผมแทบไม่อยากจะไปอยู่ใกล้เขาเลย อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นสัญญาที่บ่งบอกว่า ผมสามารถลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ได้ โดยที่ผมเซ็นสัญญากับทีมชุดใหญ่ ในวันที่ 15 กรกฎาคม. 2016 เรามีเกมในวันรุ่งขึ้น และโค้ชบอกว่า ผมมีชื่ออยู่ในทีมด้วย !!! ผมนี่แทบไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะ

วันต่อมา เราลงเล่นที่ออร์ลันโด้ ซิตี้ ต่อหน้าแฟนบอลราว 22,000 คน ผมนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง พร้อมกับเห็นออลันโด้ ยิงประตูออกนำไป จนสกอร์กลับมาที่ 2-2 จากนั้น คาร์ล ได้บอกกับผมว่า -อัลฟอนโซ่ ไปอบอุ่นร่างกายซะ- ผมเดินไปวอร์มกับผู้เล่นอีก 3 คน ก่อนที่คาร์ล จะบอกว่า -อัลฟอนโซ่ เตรียมตัวลงสนาม- ผมนี่ตัวแข็งเลย ผมไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำไป


ผมถอดเสื้อวอร์มออก และเตรียมความพร้อม เกมเหลืออีกเพียง 14 นาทีเท่านั้น พวกเขาชูหมายเลขของผมขึ้น ผมประหม่ามากเลย เมื่อรู้สึกประหม่า คุณจะไม่มีความอยากจะสัมผัสบอลเลย คุณแทบจะไม่ต้องการให้ใครส่งบอลมาให้ด้วย ทันใดนั้น บอลถูกวางยาวตรงมาที่ผม หลังจากนั้น กองหลังเข้ามาประชิดตัวผม เหมือนกับว่า เขาพยายามเล่นงานผม


จากนั้น ผมจับบอลลง และสัมผัสบอลด้วยข้างเท้าด้านใน พร้อมกับส่งบอลออกไป แม้ว่ามันยังไม่ค่อยเข้าที่นัก แต่ผมก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ผู้เล่นส่วนมากอยากเข้าสู่เกม ด้วยการผ่านบอลง่ายๆก่อนสัก 2-3 จังหวะ แต่สำหรับผมคือการกระชากบอลหลบ และยิง มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ความกังวลของผมหายไป มันทำให้ผมมีพลังเหลือล้น ในการเล่นกับทีมชุดใหญ่


หลังจากนั้น เวลาผ่านไปเร็วมาก ในช่วงปี 2017 ผมกลายมาเป็นนักเตะของทีมชุดใหญ่ ปีต่อมา ผมยิง 8 ประตูในศึกเมเจอร์ลีก พร้อมกับเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรไวธ์แคปส์ จากนั้น บาเยิร์น มิวนิค ทำการยื่นข้อเสนอเข้ามา เมื่อทีมอย่างบาเยิร์น มิวนิค ต้องการตัว ผมไม่สามารถตอบปฏิเสธได้จริงๆ

เมื่อผมย้ายออกจากไวธ์แคปส์ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 ผมแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กชายขี้อาย เมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น ผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะมุ่งหน้าไปทางไหน ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อผมย้ายไปร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิค ผมไม่มีความประหม่าอีกต่อไป ผมอยากแสดงให้ผู้คนเห็นว่า ผมสามารถลงเล่นในระดับนี้ได้ จากการที่ผมมาไกลมาก ผมจึงต้องการเล่นฟุตบอลด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และผมยังคงย้ำเตือนตัวเองในเรื่องนั้น


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย และเดเอฟเบ โพคาล 2 ครั้ง พร้อมกับรับรางวัลอย่างผู้เล่นหน้าใหม่แห่งปีด้วย ใช่แล้ว ผมยังคงยิ้มอยู่เสมอ (ตอนนี้ได้ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 หนด้วย) อย่างที่ผมบอก ไม่สำคัญหรอกว่า ผมจะใช้ชีวิตที่เยอรมัน มานานแค่ไหน อเมริกาเหนือ ยังไงเป็นบ้านของผมเสมอ เมื่อผมเดินทางกลับไปที่นั่น โดยเฉพาะในช่วงปีก่อน เพื่อลงแข่งขันรายการ ออดี้ ซัมเมอร์ ทัวร์ ซึ่งเป็นรายการใหญ่ในช่วงปรีซีซั่น ผมมีความสุขเป็นอย่างมาก


ปีนี้ เราควรจะออกเดินทางไปแข่งขันที่จีน แต่กลับมาโดนพิษโควิด-19 เล่นงานเสียก่อน ส่งผลให้บาเยิร์น มิวนิค ออกไอเดีย ด้วยการทำ ออดี้ ดิจิทัล แพลทฟอร์ม ซึ่งพวกคุณสามารถติดตามกิจวัตรประจำวัน และกิจกรรมของพวกเราแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบดิจิทัล ผมหวังว่า มันจะช่วยให้คุณรู้จักผมมากยิ่งขึ้นไปอีก หากเด็กๆเชื่อมโยงกับผมได้ มันคงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก


ผมอยากอยู่เยอรมัน ให้นานที่สุด เมื่อผมอยากจะเลิกเล่น ในอีกหลายปีนับจากนี้ ผมอยากผันตัวเองไปเป็นโค้ชอย่างแน่นอน ใครจะรู้ล่ะ ว่าผมจะได้ไปลงเอยยังไง อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในยุโรป หรือว่ากลับบ้านที่แคนาดา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันยังห่างไกลมาก ผมยังอายุเพียงแค่ 19 ปี ผมยังไม่อยากคิดมากเกี่ยวกับอนาคตที่เป็นจุดสิ้นสุดของตัวเอง ผมมีความฝันที่แสนยิ่งใหญ่ นับตั้งแต่ที่ผมยังเป็นเด็ก แน่นอนว่า บาเยิร์น มิวนิค ช่วยให้ความฝันเหล่านั้นกลายมาเป็นความจริง


แต่เชื่อผมเถอะ มันมีอะไรมากกว่านั้น .... ผมเพิ่งเริ่มต้นแค่นั้นเอง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด