:::     :::

ชัยชนะที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
7,170
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านไป 2 นัดพร้อม 6 คะแนนเต็มจากทาง ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และ แอร์เบ ไลป์ซิก

โดยเฉพาะเกมล่าสุดกับการแข่งขันที่ทำให้แฟนบอลทั้งประหลาดใจ, สะใจ และฉงนกับสกอร์ 5-0 เพราะหากไปถามแฟนบอลปิศาจแดงในช่วงก่อนเกมว่ามีใครเชื่อหรือไม่ว่าทีมจะเอาชนะด้วยสกอร์นี้ ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีใครตอบหรือมั่นใจว่าจะออกมาแบบนี้

ด้วยศักดิ์ศรีของตัวแทนจากบุนเดสลีกา เยอรมนี ทั้งการหลุดเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ 'ยูซีแอล' เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แถมยังคงทำผลงานในลีกเมืองเบียร์ได้ยอดเยี่ยมด้วยการนำจ่าฝูง ทำให้สกอร์ที่ออกมาสร้างความปลาบปลื้มอิ่มเอมให้แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด อย่างมาก

ยิ่งรูปเกมที่ออกมายังตอกย้ำความพอใจให้กับแฟนบอลที่ชมเกมสดๆ ผ่านหน้าจอ เพราะนักเตะเล่นอย่างทุ่มเท มีวินัย และดำเนินการตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะในครึ่งหลังที่จังหวะโต้กลับเร็วกลับมาสำแดงเดชสร้างความบรรลัยให้กับผู้มาเยือน

เกมล่าสุด โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตัดสินใจลงสนามด้วยระบบ 4-4-2 แบบไดมอนด์ โดยส่ง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ลงเล่นในฐานะมิดฟิลด์ตัวสูงยืนทำเกมอยู่ข้างหลัง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวูด ที่คอยปั่นป่วนแนวรับ ไลป์ซิก ในจังหวะตัดหลังหรืออาศัยความเร็วจากการแทงตามช่องเล่นงาน

ปอล ป็อกบา และ เนมันย่า มาติช เป็นอีกสองรายที่ได้ลงสนามในฐานะตัวจริง โดยมี เฟร็ด ที่กลายมาเป็นมิดฟิลด์ทางเลือกอันดับแรกของทีมลงสนามในฐานะตัวทำลายและวิ่งไล่บี้ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง



การยืนนัดที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า มาติช ลงลึกไปอยู่หน้าแผงหลังคอยเก็บกวาดความเรียบร้อยหน้าปากประตูก่อนงานจะไปถึงบรรดากองหลัง โดยมี เฟร็ด (ยืนทางขวา) ที่คอยวิ่งไล่ ทำลายเกมคู่แข่ง ส่วน ป็อกบา จะคอยพักบอลเชื่อมเกมและอาศัยการยืนตำแหน่งมองหาโอกาสเล่นงานฝ่ายตรงข้าม

ประตูแรกของเกมมาจากจังหวะขยันของกองกลางบราซิลที่วิ่งกดดันก่อนจะจิ้มบอลไปเข้าทาง ป็อกบา อาศัยทักษะและวิสัยทัศน์แทงต่อไปให้ กรีนวูด จบสกอร์ด้วยซ้าย

จะว่าไปแล้วจังหวะออกนำของผีแดงหากเป็นในเวทีพรีเมียร์ลีกอาจจะถูกริบประตูคืนเพราะต้องยอมรับว่ามันก้ำกึ่งและดูเหมือนเท้าของ กรีนวูด เหลื่อมแนวรับออกไปนิดหน่อย (แต่ในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นผู้ตัดสินคนละชุด ส่งผลให้เจ้าบ้านได้ประโยชน์จากจังหวะนี้ไป)

มันเป็นประตูปลดล็อกที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นง่ายขึ้น โดยเฉพาะแผงมิดฟิลด์ทั้ง 4 รายที่ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งการสอดประสานและทำตามแผน ส่งผลให้ทีมเยือนเจองานหนักและแทบไปไม่เป็น

แม้ ไลป์ซิก ยังคงเล่นแบบเพรสซิ่งเร็วและสูง แต่เกมที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่านักเตะทุกๆ คน ของ ผีแดง จะเล่นแบบรัดกุมอาศัยความชัวร์และแน่นอนในการออกบอลที่เน้นให้ผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะมีบางจังหวะที่ไม่ละเอียดเนียนตา แต่พวกเขาทดแทนด้วยความขยันของ เฟร็ด ที่แทบจะไปอยู่ในทุกพื้นที่ทุกเหตุการณ์ พร้อมกับทำลายการเดินเกมของทีมเยือนให้ติดขัดหรือสะดุดไม่ต่อเนื่อง




ในราย ฟาน เดอ เบ็ค ถึงจะไม่หวือหวาหรือสร้างผลกระทบได้ดีเท่าตัวสำรองที่ลงไปแทน แต่กองกลางชาวฮอลแลนด์กำลังอยู่ในช่วงปรับจังหวะและความเข้าใจการเล่นในสนามกับเพื่อนร่วมทีม เพราะอย่าลืมว่าเขาแทบจะไม่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงเลย และบางนัดกว่าจะได้ลงก็มีเวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น

กระนั้นเกมล่าสุดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เราได้เห็นมิติและการเล่นที่เชื่อว่าหากเขาสามารถ 'ปะติดปะต่อ' กับแนวรุกหรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ จะเป็นการช่วยเพิ่มอาวุธในแนวรุกหรือแดนกลางให้กับทีม

อย่างที่เรียนไป เกมที่ผ่านมา ดอนนี่ ลงเล่นในมิดฟิลด์ตัวสูงที่คอยทำเกมและเชื่อกับแนวรุก หลายๆ จังหวะเราจะเห็นว่ามิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์พยายามจะเล่นบอลจังหวะเดียวหรือสองจังหวะ โดยเน้นต่อบอลเร็วให้แนวรุกหรือตัวที่สอดขึ้นมา

การเล่นในลักษณะนี้จะมีประโยชน์อย่างมากกับกองหน้าที่มีความเร็วของปิศาจแดง และจะช่วยเพิ่มภาระให้กับแนวรับของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องพะวงกับจังหวะแทงตามช่อง หรือการฉวยโอกาสพลิกเข้าทำเองของบรรดาแดนกลางที่พร้อมสอดขึ้นมาจากแถวสอง แมะกระทั่งการเปลี่ยนจังหวะออกไปทางฟูลแบ็กที่พร้อมสอดขึ้นมาเป็นระยะ

นั่นคือจุดที่ ฟาน เดอ เบ็ค ยังต้องรอคอยในการปรับจูนกับเพื่อนร่วมทีมในเรื่องของจังหวะ การวิ่ง และความเข้าใจในเกมซึ่งเชื่อว่าน่าจะพัฒนามากขึ้นหลังจากนี้หากเขามีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง



ว่ากันถึงบรรดาตัวสำรองแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ผลการแข่งขันที่งดงาม มาร์คัส แรชฟอร์ด มาระเบิดฟอร์มเก่งกดแฮตทริก ซึ่งมันเกิดขึ้นในจังหวะและเวลาที่ลงตัวในเรื่องของปัจจัยและรูปเกมที่ทำให้มันดำเนินไปเช่นนั้น

สำหรับ ไลป์ซิก สกอร์ตอนตามหลัง 0-1 ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกต้องเดินหน้าบุกเพื่อตีเสมอ ซึ่งการตามหลังเพียงประตูเดียวทำให้พวกเขามองว่ายังมีโอกาสกลับมาสู่เกม

แต่แล้วทุกอย่างต้องพังทลายหลังจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส ถูกส่งลงสนามพร้อมกับคำสั่งในการทำลายล้างแนวรับของผู้มาเยือน

สัญญาณเตือนเกิดขึ้นในจังหวะฟรีคิก แม้ว่าจะเป็นลูกตั้งเตะระยะหวังผลที่สามารถยิงได้ แต่กองกลางชาวโปรตุเกสยกบอลข้ามกำแพงไปให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ชาร์จพลาดไปเพียงปลายเท้าเท่านั้น

นั่นเป็นเหมือนการส่งคำเตือนไปยังแนวรับ ไลป์ซิก ที่ค่อยๆ ดันแนวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งหลังจากจังหวะฟรีคิดไม่นาน บรูโน่ จัดการสวนกลับเร็วจังหวะเดียวในการแทงเข้าตรงกลางให้ แรชฟอร์ด หลุดไปสำเร็จโทษ (จังหวะเช่นนี้จะได้ผลอย่างมากเมื่อ ปิศาจแดง เจอกับทีมที่พร้อมแลกและเดินหน้าบุกใส่พวกเขา เราจะได้เห็นจังหวะเช่นนี้บ่อยๆ เมื่อทีมเป็นฝ่ายนำหรือมีสกอร์ที่ได้เปรียบ)

หลังจากนั้นรูปเกมของทีมเยือนหยุดไปดื้อๆ และเป็นความขยัน (อีกครั้งหนึ่ง) ของ เฟร็ด ที่ตัดบอลจากแดนคู่แข่งหลุดไปถึง แรชฟอร์ด ทำประตูที่สองของตนเอง

ท้ายที่สุด อย่างที่แฟนบอลได้ทราบไป ผลการแข่งขัน ณ สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด นัดที่ผ่านมาจบลงด้วยสกอร์ 5-0 ซึ่งถือเป็นชัยชนะที่งดงามของ ปิศาจแดง และนั่นยังเป็นชัยชนะหนแรกในรังเหย้าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลของทีมอีกด้วย

ความพ่ายแพ้ให้แก่ คริสตัล พาเลซ และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ถูกบรรเทาลงจากชัยชนะหนล่าสุด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการยึดจ่าฝูงของกลุ่ม เอช และช่วยเพิ่มโอกาสในการตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของ โอเล่และลูกน้อง

สิ่งที่เราได้เห็นจากเกมที่ผ่านมานอกจากชัยชนะที่ทำให้แฟนบอลมีความสุข มันคือการเล่นที่ยืดหยุ่นมากขึ้นของทีม ระบบต่างๆ ถูกนำมาใช้งานในช่วง 3-4 ที่ผ่านมา โซลชา พยายามปรับทีมให้เข้ากับคู่แข่งและเลือกใช้งานนักเตะให้เหมาะสมกับสถานการณ์




ถึงตรงนี้ โซลชา มีทางเลือกในเรื่องขุมกำลังและการจัดทีมอย่างมาก โดยเฉพาะแดนกลางที่พร้อมให้เขาใช้งานถึง 5 ราย ซึ่งแต่ละคนพร้อมทำหน้าที่ของตนเองแตกต่างกันไปตามแล้วแต่เทรนเนอร์เห็นสมควร

นั่นคือการบริหารทีมและการจัดการที่ต้องทำให้ลงตัวเหมาะสม เพราะที่ผ่านมาอย่างที่ทราบกันดีว่าแฟนบอลมีข้อเรียกร้องหลายอย่างที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะกรณี ฟาน เดอ เบ็ค ที่เหล่าสาวกอยากเห็นมิดฟิลด์ดัตช์ลงสนามตัวจริง หรือแม้แต่การลงสนามพร้อมกับ บรูโน่ และ ป็อกบา (ตามที่พวกเขาวาดฝันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดฤดูกาล)

อย่างที่เคยเขียนไปในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ว่า ตอนนี้การบ้านและงานของ โซลชา คือการตัดสินอย่างถี่ถ้วน เพราะเขาสามารถส่งนักเตะลงสนามไปได้เพียง 11 เท่านั้น ทำให้การจัดทีมลงสนามในแต่ละครั้ง จะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่กลายมาเป็นตัวสำรองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำถามก็จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น

ยกตัวอย่างในเกมนัดที่ผ่านมา โซลชา เลือกการเล่น 4-4-2 แบบ 'ไดมอนด์' ส่งผลให้เขาต้องตัดแนวรุกออกไป 1 ราย ซึ่งท้ายที่สุดเขาตัดสินใจถอด แรชฟอร์ด เป็นสำรอง พร้อมกับส่ง กรีนวูด และ มาร์กซิยาล ลงสนามก่อน เอดินสัน คาวานี่

หรือหากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในเกมปะทะ เชลซี บนเวที พรีเมียร์ลีก กุนซือนอร์เวย์เลือกกลับไปใช้งาน 4-2-3-1 และอย่างที่เราเห็นว่า ป็อกบา กับ ฟาน เดอ เบ็ค ต้องหลุดไปนั่งข้างสนาม

ถึงตรงนี้มันขึ้นอยู่กับทางเลือกชนิดที่ 'ได้อย่างเสียอย่าง' การจัดทีมของ โซลชา แต่ละนัดไม่เพียงจะต้องปวดหัวกับการเลือก 11 นักเตะที่ดีที่สุดในการลงสนามเพื่อคว้าชัยชนะ แต่บางครั้งต้องรับมือกับเสียงคัดค้านจาก 'โซเชียล มีเดีย'


เอาล่ะ ... ชัยชนะสวยงามผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้งานชิ้นใหม่กำลังใกล้เข้ามาและมันคืองานหนักอีกหนึ่งเกมในการรับมือ อาร์เซน่อล วันอาทิตย์นี้ 

อีกหนึ่งเกมสำคัญที่เข้ามาอย่างกระชั้นชิด และเป็นเกมที่ทั้งนักเตะรวมไปถึงแฟนบอลต้องการชัยชนะมาครอง เพราะนอกเหนือจากการเอาชนะอริจากลอนดอนมันยังหมายถึงการดีดตัวเองให้พ้นจากโซนล่างของตารางพรีเมียร์ลีก

อย่างที่ โซลชา ได้กล่าวตอนหนึ่งในช่วงแถลงข่าวหลังจบเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก "เราทำงานในส่วนของความต่อเนื่อง นักเตะทุกๆ คนทราบว่าพวกเขาทำงานหนักและนั่นคือกุญแจสำคัญ"

สำหรับเกมฟุตบอลความต่อเนื่องคือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และมันคือปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มพูนในส่วนความมั่นใจภายในทีม ที่กำลังก่อตัวจากผลงานและผลการแข่งขันที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจใคร่ติดตามว่านักเตะจะสามารถทำได้ตามที่กุนซือปรารถนาได้หรือไม่

ยังน่าสนใจตรงที่ โซลชา จะจัดแผนการรับมือ ปืนใหญ่ อย่างไร เพราะคู่แข่งที่นำโดย มิเกล อาร์เตต้า เป็นอีกหนึ่งทีมที่มีความยืดหยุ่นในการเล่นและการจัดทีมลงสนาม แม้ว่า ปืนใหญ่ กำลังเจอปัญหาแนวรับบาดเจ็บ แต่อาวุธเด็ดของพวกเขาคือแนวรุกที่รวดเร็วและทักษะดีไม่แพ้กัน

น่าสนใจตรงที่แดนกลางของ ปิศาจแดง จะสามารถสานต่อผลงานที่ยอดเยี่ยมและสามารถจัดการลูกทีม อาร์เตต้า ให้อยู่หมัดได้หรือไม่ รวมไปถึงแนวรับที่ห้ามสร้างความผิดพลาดขึ้นมาโดยอันขาด เพราะมิฉะนั้นอาจจะโดนลงโทษแบบแสนสาหัส

และมันน่าสนใจว่าท้ายที่สุดแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด จะสามารถคว้า 3 คะแนนแรกใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด จากการลงสนามบนเวทีพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด