:::     :::

เหตุผล 5 ข้อที่ฤดูกาลนี้ปีศาจแดงแรงฤทธิ์กว่าลิเวอร์พูล

วันอาทิตย์ที่ 02 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,773
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
รอย คีน อดีตตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยู​ไนเต็ด เปิดปากให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้งว่า ลิเวอร์พูล​ ในฤดูกาลนี้คือ Bad Champions โดยเฉพาะผลงานในลีกที่รูดมหาราชชนิดเป็นคนละทีมกับฤดูกาลคว้าแชมป์อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนทีมเก่าของเขากำลังเล่นได้ดีวันดีคืนแถมยังอยู่อันดับ 2 ในตารางคะแนนพรีเมียร์​ลีกอีกด้วย

แม้จะขัดใจกับคำพูดของคีโน่ แต่ก็ยอมรับด้วยใจจริงและเถียงได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะหลักฐานที่มัดตัวจากข้อกล่าวหานั้นมีอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นอันดับในตารางคะแนนที่ห่างกับปีศาจแดงถึง 13 แต้ม, การตกรอบฟุตบอลถ้วยไปแล้วทุกรายการ ขณะที่ปีศาจแดงกำลังไปได้สวยในถ้วย ยูโรปา ลีก


แล้วอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ในฤดูกาลนี้พลพรรคปีศาจแดงแรงฤทธิ์กว่าหงส์แดงในทุกรายการ คำตอบอาจซุกอยู่ที่บรรทัดด้านล่างนี้ก็เป็นได้


1) อาการบาดเจ็บ

นี่คือ 1 ในเหตุผลหลักที่ทำให้ผลงานของ ลิเวอร์พูล ตะกุกตะกักและสะดุดล่มไม่เป็นท่าในฤดูกาลนี้ โดยสถิติจากเว็บ สกาย สปอร์ตส บันทึกเอาไว้ว่านับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลใหม่เป็นต้นมา ทัพหงส์แดงประสบกับเคสอาการบาดเจ็บไปแล้วถึง 20 ครั้งด้วยกัน


โดยลิสต์นักเตะที่้เจ็บและต้องพลาดการลงสนามล้วนแล้วแต่เป็นนักเตะคนสำคัญของทีมแทบทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ ติอาโก้ อัลคันทาร่า (9 วัน), โจเอล มาติป 4 ครั้ง (18 วัน, 7 วัน, 24 วัน และ 22 วัน), ซาดิโอ มาเน่ (10 วัน), เซอร์ดาน ชากิรี่ (10 วัน), อลิสซอน เบคเกอร์ 2 ครั้ง (22 วัน และ 5 วัน), ฟาบินโญ่ 3 ครั้ง (25 วัน, 11 วัน และ 24 วัน), โม ซาล่าห์ (12 วัน), นาบี เกอิต้า 2 ครั้ง (14 วัน และ 50 วัน), เทรนท์ อเล็กซานเดอร์​-อาร์โนลด์ (29 วัน), อเล็กซ์​ อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน (122 วัน), เจมส์ มิลเนอร์ 2 ครั้ง (29 วัน และ 15 วัน), ดิโอโก้ โชต้า (78 วัน)​ และยังไม่รวมที่เจ็บยาวอย่าง เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กับ โจ โกเมซ อีก รวมแล้ว หงส์แดงในฤดูกาลนี้แทบจะไม่ได้ใช้งานนักเตะแบบฟูลทีมยาวๆ เลย


ขณะที่ในฤดูกาลนี้ฝั่งปีศาจแดงค่อนข้างฟูลทีม พวกเขาประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บน้อยกว่าเยอะ โดยในบรรดาคีย์แมนของทีมมีเพียง ได้แก่ ดาบิด เด เคอา (พลาดลงสนาม 4 นัด), วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ (4 นัด, เอริค ไบญี่ (12 นัด), อเล็กซ์ เตลเลส (4 นัด), ลุค ชอว์ (3 นัด), ปอล ป็อกบา (8 นัด), ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค (4 นัด), สกอตต์ แมคโทมิเนย์ (2 นัด), อองโตนี่ มาร์กซิยาล (8 นัด)​ และ เมสัน กรีนวูด (2 นัด)​ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ทีมไม่ประสบปัญหามากเท่ากับ ลิเวอร์พูล


ซึ่งปัญหาของนักเตะบาดเจ็บถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล​ เป๋หนักในช่วงกลางฤดูกาล เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องหมุนผู้เล่นไปไว้ในตำแหน่งไม่ถนัดแทบจะทุกเกม บางครั้งต้องส่งแนวรับดาวรุ่งลงสนามด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ทีมขาดความต่อเนื่อง ผิดกับทางฝั่งปีศาจแดงซึ่งหมุนผู้เล่นน้อยกว่าและสามารถใช้งานนักเตะในตำแหน่งถนัดได้ต่อเนื่ิองกว่า จนทำให้มีช่วงเวลาที่โกยแต้มติดๆ กันและค้นพบสมดุลของทีมได้ดีกว่า


สถานการณ์​ ณ ปัจจุบัน ก่อนเกมแดงเดือดที่จะเตะกันในคืนนี้ ลิเวอร์พูล​ ยังคงมีลิสต์นักเตะเจ็บอยู่ถึง 9 คน ส่วนปีศาจแดงนั้นค่อนข้างฟูลทีมมีเจ็บเพียง 2 คนเท่านั้น




2) ปีศาจแดงชนะติดต่อกันในลีกมากกว่าและไม่เคยแพ้ในลีกติดต่อกัน


หากจำแนกแยกย่อยให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า ลิเวอร์พูล ชนะติดต่อกันในลีกมากสุดคือ 3 นัด โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงคือชนะ ลีดส์, เชลซี และ อาร์เซน่อล​ ช่วงต้นฤดูกาล อีกครั้งคือช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ชนะ วูลฟ์ฯ, อาร์เซน่อล และ แอสตัน วิลล่า ขณะที่ปีศาจแดงนั้นชนะคู่แข่งติดต่อกันมากกว่า 3 นัดขึ้นไปถึง 3 ช่วงเวลา โดยแบ่งเป็นชนะติดต่อกัน 3 นัด, 4 นัด และเคยพีคติดเครื่องชนะคู่แข่ง 5 นัดติดต่อกันมาแล้ว


ยิ่งมองไปที่เรื่องโมเมนตัม เราจะพบว่าปีศาจแดงสปริงตัวจากความพ่ายแพ้ได้ดีกว่าลิเวอร์พูล เพราะจาก 33 นัดที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยแพ้ในลีกติดต่อกันเลย กลับกันที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล เคยหลุดโค้งแพ้ในลีกติดต่อกันถึง 4 นัดติด ก่อนจะกลับมาชนะ เชฟฟิลด์ฯ ได้หนึ่งนัด แล้วก็แพ้ 2 นัดติดต่อ เชลซี และ ฟูแล่ม ช่วงต้นเดือนมีนาคม


3) ความหลากหลายในแนวรุก

เรื่องหนึ่งที่นอกเหนือไปจากตัวเลขต่างๆ แล้ว มิติในเกมรุกคือสิ่งที่ทำให้ทัพปีศาจแดงโกยแต้มได้มากกว่าในลีก


แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะทำประตูในลีกได้ 14 คน โดยมีถึง 10 คนที่ยิงได้มากกว่า 2 ประตูขึ้นไป ขณะที่ ลิเวอร์พูล แม้จะยิงกันได้ 12 คนก็จริง ทว่ามีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ยิงได้มากกว่า 2 ประตูขึ้นไป แถมสัดส่วนในการทำประตูของทีมยังหนักไปที่ โม ซาล่าห์ คนเดียวถึง 36% ของจำนวนประตูที่ทีมยิงได้ รองลงมาคือ โชต้า กับ มาเน่ ที่ยิงไปคนละ 8 ประตู ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าหงส์แดงฝากความหวังการทำประตูไว้กับนักเตะที่ไว้ใจได้เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง


ส่วนฝั่งปีศาจแดงค่อนข้างสมดุลมากกว่า พวกเขามี บรูโน่ เป็นดาวซัลโวที่จำนวน 16 ประตู ตามมาด้วย แรชฟอร์ด ที่ 10 และ คาวานี่ 8 ประตู โดยบรรดาตัวรุกทั้ง 6 คนของทีมนั้นสามารถสลับกันลงมาสร้างความแตกต่างให้ทีมได้ในระดับที่ไม่หนีกันมาก


นอกเหนือไปจาก 3 คนข้างต้น ปีศาจแดงมี กรีนวูด ซึ่งยิงได้ 5, มาร์กซิยาล 4, แดเนี่ยล เจมส์ 3 แถมกองกลางของทีมยังสอดขึ้นมาช่วยทำประตูได้แทบจะทุกคนอีกด้วย อย่าง ป็อกบา ก็ยิงไป 3, แม็คโทมิเนย์ ยิงไปแล้ว 4 ส่วน ฟาน เดอ เบค ที่ไม่ค่อยได้ลงยังยิงไปแล้ว 1 ซึ่งความหลากหลายในการเข้าทำตรงจุดนี้คือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำหล่นไปอย่างน่าเสียดาย


แนวรุกของหงส์แดงค่อนข้างมีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันจนเกินไป และในช่วงหลังยังเริ่มถูกจับทางได้มากขึ้น อีกทั้งยังขาดกองหน้าตัวเป้าคมๆ แบบ  คาวานี่ ที่มักจะโผล่มาเป็นอีกตัวเลือกยามคับขันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


4) การได้-เสียในช่วงเวลาสำคัญ

สถิติจาก Opta บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่า ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้เสียประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกมมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงเท่าตัว ซึ่งนั่นคืออีก 1 เหตุผลสำคัญที่ทำให้แต้มหลุดมือไปเป็นว่าเล่นจนอันดับในตารางห่างกันมากขนาดนี้


ลิเวอร์พูล เสียประตูใน 15 นาทีสุดท้ายมากถึง 13 ลูก ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียเพียงแค่ 6 ลูก อีกทั้งในเรื่องของผลงานครึ่งหลังก็เป็นอีก 1 ตัวแปรสำคัญ โดยหงส์แดงเสียประตูในครึ่งหลังไปมากถึง 21 ยิงได้ 33 ขณะที่ปีศาจแดงนั้นเสียประตูครึ่งหลัง 15 แต่ยิงได้มากถึง 41 ประตูเลยทีเดียว ซึ่งคิดเป็น 64% ของจำนวนประตูที่ยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้เลยทีเดียว



5) ความมั่นใจและแรงกระตุ้น

สุดท้ายผมว่าไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่า "เรื่องหัวจิตหัวใจ" อีกแล้วล่ะครับ


ในฤดูกาลนี้ทัพหงส์แดงสูญเสียความมั่นใจในการลงสนามจากหลากหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ, วีเออาร์ซึ่งริบประตูสำคัญๆ, เสียงเชียร์ในบ้าน, ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่งผลต่อเกม และความยากลำบากในการทำประตูที่ไม่ไหลลื่นเหมือนก่อน


จากตัวเลขที่สาธยายไปให้เห็นข้างต้น มันเหมือนโดมิโน่ที่กระทบมาเป็นทอดๆ พอตัวหลักทยอยเจ็บเยอะ ลึกๆ ในใจนักเตะที่เหลือย่อมมีความหวาดหวั่น, พอถูกวีเออาร์รอบประตูแบบไม่ค่อยเมคเซนส์บ่อยๆ ความมั่นใจในการเล่นเกมรุกก็ถดถอยลงไป ลองนึกภาพตามนะครับ ธรรมชาติที่เคยฝึกซ้อมแบบนี้ วิ่งไลน์นี้ ส่งช่องนี้ แต่พอถูกตัดสินด้วยเส้นที่มีความละเอียดระดับนับขนจักแร้บ่อยๆ มันทำให้การเล่นในจังหวะต่อมาเริ่มเกร็งและพะวงมากขึ้น


ในเมื่อเกมรุกยิงไม่ได้ เกมรับก็มาพังอีก แล้วเป็นแบบนี้บ่อยๆ ความมั่นใจในการเล่นจึงค่อยๆ หดตามจนผิดธรรมชาติอย่างที่เราได้เห็นกันจนชินตาในฤดูกาลนี้


ขณะที่ปีศาจแดง ผมต้องยอมรับด้วยความสัตย์จริงเลยนะครับว่าฤดูกาลนี้พวกเขาลงตัวในขุมกำลังมากขึ้นเยอะจริงๆ แม้แฟนผีจะบ่น โอเล่ โซลชาร์ กัน แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเขาพาทีมกลับมาอยู่ในจุดที่ควรเป็นทั้งผลการแข่งขันและวิธีการเล่น


และการที่ปีศาจแดงทำผลงานได้ดีกว่าแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล​ นอกจากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไปทั้ง 5 ข้อแล้วนั้น ข้อที่ 5.5 ผมคงต้องยกความดีความชอบให้ โอเล่ อีกคน ที่ทำทีมได้คงเส้นคงวากว่า และแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าในฤดูกาลนี้ ยกนิ้วให้ด้วยใจจริง.


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด