:::     :::

ชัยชนะที่คู่ควร!

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,409
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การเดินทางในซีซั่นนี้ของ เชลซี จบลงอย่างสุขสมสำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนบอลที่ได้เห็นกับตาเมื่อทีมรักเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่หลังจากที่ต้องทนดูเกมจากทีวีที่บ้านมาตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด-19

ต้องบอกว่าชัยชนะสองเกมก่อนหน้านี้ที่เจอกันทั้งในพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ แม้ว่าจะเป็นคนละเกม แต่ก็นั่นแหละ มันช่วยเพิ่มความมั่นใจได้เป็นอย่างดี

และสุดท้ายผลก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ


นับถ้วย

กับการคว้าแชมป์การแข่งขันรายการของยุโรปเป็นครั้งที่ 7 ในประวัติศาสตร์สโมสร, เชลซี ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 10 ตลอดการของทีมที่ได้แชมป์ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการของยูฟ่า

นอกจากนี้ "สิงห์บลูส์" ยังเข้ามาอยู่ในทำเนียบ 12 ทีมที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมากกว่าครั้งเดียวด้วย

การจัดทีม

หลังจากที่ถูกหุบเข้ามาเป็น 1 ใน 3 เซนเตอร์ อยู่ 3 เกมติดต่อกัน, รีซ เจมส์ ถูกขยับออกไปเป็นวิง-แบ็กขวาตามถนัดเหมือนเดิม เช่นเดียวกับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ขยับเข้าไปตรงกลางเช่นกัน

ส่วนในแนวรุก ไค ฮาแวร์ตซ์ รับหน้าที่ร่วมกับ ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงเพื่อนร่วมชาติและ เมสัน เมาท์ นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร


ส่วนข่าวดีก็คือทั้ง เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารมือหนึ่งและ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์คนสำคัญที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้ผ่านความฟิตลงเล่นได้อย่างไร้ปัญหา

ในขณะที่การจัดทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องถือว่าน่าเซอร์ไพรส์เลยเมื่อไม่ใช้ทั้ง โรดรีโก้ โรดรี้ และ แฟร์นานดินโญ่ ในตำแหน่งกองกลาง แต่กลับวาง ฟิล โฟเด้นม อิลคาย กุนโดกัน และ แบร์นาร์โโด้ ซิลวา ลงคุมเกม ส่วนเกมรุก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ริยาด มาห์เรซ ทำเกมริมเส้นโดยมี เควิน เดอ บรอยน์ เป็นกองหน้าแบบ "ฟอลส์ ไนน์"

กองหลังในตำแหน่งแบ็กขวา ไคล์ วอล์คเกอร์ ได้เล่นก่อน ส่วนทางซ้าย โอเล็คซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่เป็นตัวธรรมชาติได้เล่นก่อน ทำให้ ชูเอา กานซาโล่ ที่โดดเด่นมาทั้งซีซั่นเป็นแค่ตัวสำรอง คู่เซนเตอร์ จอห์น สโตนส์ ประสานงานกับ รูเบน ดิอาส โดยมี เอแมร์ซอน เฝ้าเสา


การคิก-ออฟครั้งใหญ่ในเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ยามเย็นที่ปอร์โต้และแสงแดดอันสดใส การรอคอยก็สิ้นสุดลงกับการเจอกันของสองสโมสรใหญ่ของพรีเมียร์ลีกกับการชิงความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรป

นอกจากแฟนบอลทั่วโลกที่เฝ้าติดตามเกมผ่านหน้าจอทีวี ในสนามแฟนบอลเกือบ 15,000 คน แม้ว่าจะห่างจากขนาดที่เจ็บความจุ แต่ทุกคนก็สร้างบรรยากาศในแบบที่คุ้นเคยได้อย่างดีเยี่ยม

มีการพูดกันมากมายก่อนเกมว่า เชลซี คู่ควรกับชัยชนะสองเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ก่อนหน้านี้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องเจอกับความยากลำบากแสนสาหัสในการเจอกับทีมจากลอนดอนตะวันตกมากกว่าคู่แข่งรายอื่น

เชลซี จะหาพื้นที่ได้แบบเดียวกับที่ทำได้ตอนเจอกันในเอฟเอ คัพรึเปล่า และเมื่อทีมมีโอกาสจะสามารถคว้าเอาไวง้ได้รึเปล่า

มีความประหม่าอยู่บ้างช่วงออกสตาร์ท แต่หลังจากเวลาค่อยๆผ่านไป ฝั่งของ เชลซี ก็ค่อยๆทำได้ดีขึ้นเรื่อย


การตั้งเกมของ เชลซี

ต้องบอกว่าเกมนี้พลพรรค เชลซี เล่นได้ "นิ่ง" อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะการออกบอลที่ไม่มีลนลานอะไรมากมาย แต่แท็กติกของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือการบีบเกมสูง แต่ต้องบอกว่าฝั่ง "สิงห์บลูส์" เอาตัวรอดได้ดี

ส่วนแท็กติกของ โธมัส ทูเคิ่ล คือการบีบเกมของ "เรือใบ" ให้ต้องบุกด้านข้าง ไม่ได้เจาะตรงกลางตามถนัด ซึ่งนอกจาก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ จอร์จินดญ่ จะช่วยปัดกวาดหน้าแผงหลังแล้วยังมี เมสัน เมาท์ กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ตามมาช่วยอีก กลายเป็นปิดช่องของซิตี้ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อตัดเกมได้ เชลซี จะเน้นการวางบอลให้แข้งริมเส้นทั้งหลายใช้สปีดเอาบอลไปเล่นงาน ซึ่งจะด้วยอะไรก็ตามแต่ดูบอลจะเข้าที่เข้าทางฝั่งสีน้ำเงินอยู่เสมอ


จากที่เล่นกันแบบเกร็งๆทั้งคู่ออกมาในแนวเน้นการตัดเกมใส่กันโอกาสแรกเป็นของ แมนฯ ซิตี้ ที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทะลุเข้าเขตโทษด้านซ้าย แต่ทาง รีซ เจมส์ สปีดมาใช้ความแกร่งชนทำเอาเสียจังหวะไป

โอกาสสองครั้งของ เชลซี น่าได้ประตูขึ้นนำ หนแรก ไค ฮาเวิร์ตซ์ เปิดบอลจากทางซ้ายมาให้ ติโม แวร์เนอร์ แปเน้นๆแต่กลับวืดไป และอีกครั้ง เมสัน เมาท์ จ่ายบอลให้ แวร์เนอร์ ที่จับบอลใกล้ตัวจังหวะยิงเลยน้ำหนักไม่รุนแรงนัก เอแดร์ซอน รับเข้ามือสบาย

ประตูขึ้นนำ

เกมของทั้งสองทีมแม้ต่างฝ่ายจะได้ลุยขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษของคู่แข่ง แต่บอลสุดท้ายหลายครั้งหลายหนกลับไม่ได้จบด้วยการทำประตู หรือถึงแม้จะได้ยิงในจังหวะของ ฟิล โฟเด้น ที่ถือว่า "เน้นๆ" แต่ไปติดบล็อก อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แบบหวุดหวิด

กระทั่งช่วงท้ายครึ่งแรกเป็น เชลซี ที่มาได้ประตูขึ้นนพที่เล่นจังหวะไม่เยอะเลยเมื่อ เอดูอาร์ เมนดี้ ให้บอลมาที่ เบน ชิลเวลล์ ต่อมาที่ เมสัน เมาท์ แทงทะลุช่องสุดสวย ไค ฮาแวร์ตซ์ สปีดสุดตัวเอาบอลไปยแตะผ่าน เอแดร์ซอน ก่อนยิงเข้าไปอย่างยอดเยี่ยม


ลูกนี้ต้องชมจังหวะ "คิลเลอร์พาส" อันสุดยอดของ เมาท์ ที่ต้องบอกว่านี่คือระดับ "เวิลด์คลาส" จริงๆ และ ฮาแวร์ตซ์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

แค่ 3 นาทีก่อนหน้าที่จะได้ประตูทีมเพิ่งเจอข่าวร้ายกับอาการบาดเจ็บของ ติอาโก้ ซิลวา ที่เล่นต่อไม่ไหวต้องเอา อันเดรียส คริวเตนเซ่น ลงมาเล่นแทน ไม่รู้ตอนนั้นเจ้าตัวจะคิดยังไงเพราะออกไปนั่งเหมือนจะร้องไห้ข้างสนาม เพราะปีที่แล้วเข้าชิงชนะเลิศกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ไป

สู้อย่างแข็งแกร่ง-ปิดเกม


การกลับมาในครึ่งหลังแน่นอนว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเปิดเกมบุกเนื่องจากประตูตามหลัง แต่เกือบทั้งหมดถูก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จัดการเก็บกวาดได้หมด ดักได้แม้กระทั่งลูกเปิดฟรีคิก!

กระทั่งหนึ่งชั่วโมงของ "เรือใบ" ก็ต้องเจอข่ายร้ายเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ ไปชนกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ สุดท้ายเล่นต่อไม่ไหวต้องเปลี่ยนออก ทำให้เกมรุกที่แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้วยิ่งลดน้อยถอยความน่ากลัวลงไป

โธมัส ทูเคิ่ล ขยับเปลี่ยนคนที่สองเอา คริสเตียน พูลิซิช ลงมาแทน ติโม แวร์เนอร์ ที่น่าจะวิ่งจนไม่เหลือแรงแล้ว เป็นการเติมความสดลงไปและน่าได้ประตูเพิ่มจาก พูลิซิช นี่แหละแต่บอลหลุดกรอบทำให้ฝังไม่ได้


จริงอยู่ว่าเกมทาง แมนฯ ซิตี้ ที่ครองเกมบุกแต่จังหวะแล้วจังหวะเล่าก็โดนฝั่ง เชลซี สกัดเอาไว้ได้หมด แม้เกมรุกจะไม่ได้ขึ้นไปลุยเหมือนครึ่งแรก แต่เกมรับก็ไม่ผิดพลาด

โดยเฉพาะ 10 นาทีสุดท้าย ทูเคิ่ล เปลี่ยนเอา มาเตโอ โควาซิช ลงมาเล่นแทน เมสัน เมาท์ เหมือนเป็นการปิดเกมไป

แค่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คนเดียวทางเรือใบก็เหนื่อยแล้ว นี่ยังมีกองกลางลงมาเสริมอีกสุดท้ายเวลาค่อยๆหมดไปชัยชนะตกเป็นของ เชลซี คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรเป็นสมัยที่สองของสโมสร


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด