:::     :::

"เพราะผมเป็นคนต่อไป และคงยิงไม่เข้า" Rio Ferdinand

วันอาทิตย์ที่ 08 สิงหาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,045
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในปี2008 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ได้กลายเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์สำเร็จ และนั่นได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล กับการย้อนระลึกถึงเรื่องชัยชนะอันสุดปลาบปลื้มที่มอสโคว บวกกับอีกหลายช่วงเวลาสำคัญๆของเขาที่ทำให้เขาได้เล่นให้กับเวสต์แฮม ลีดส์ และทีมชาติอังกฤษ ผ่านบทสัมภาษณ์ของเขาที่ให้ไว้กับFourFourTwo

แม้จะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วจนถึงตอนนี้ที่ได้มานั่งพูดคุยอยู่กับ FourFourTwo แต่น้ำเสียงของเฟอร์ดินานด์มีความสั่นเครือเมื่อเขานึกถึงสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา เมื่อนั่นคือเวลา ตี1.45 เมื่อบ็อบบี้ ชาร์ลตันมาหาเขา

และทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันในสนามลุซนิกิ สเตเดี้ยม ก่อนที่เฟอร์ดินานด์จะได้ขึ้นไปชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกในฐานะกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงแค่ชั่วอึดใจข้างหน้า หลังจากฝ่าฟันค่ำคืนอันยาวนานในเมืองหลวงของรัสเซียกันมา ด้วยการที่แมนยูไนเต็ดเอาชนะเชลซีในการดวลลูกโทษได้สำเร็จ

มันคือ 40ปีให้หลังจากที่สโมสรคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพด้วยการคว้าชัยชนะเหนือเบนฟิก้าได้

และมันคือ 50ปีให้หลัง จากโศกนาฏกรรมทางอากาศที่มิวนิค

"ในขณะที่เชลซีกำลังจะรับเหรียญรางวัล เซอร์บ็อบบี้ก็เดินมาถึงตีนบันไดพอดี" เฟอร์ดินานด์เล่าให้FFTฟัง

"เขาพูดว่า ริโอ คุณรู้ไหมว่านี่มันมีความหมายยังไงบ้าง? ก็เท่าที่รู้ นอกจากเรื่องที่เราเพิ่งชนะในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกมา ผมก็ยังนึกถึงอย่างอื่นไม่ออก แล้วเขาก็พูดว่า ริโอ คุณคือคนที่สามที่ได้ชูถ้วยใบนี้ให้สโมสรเรา และผมเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน สิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณ.. เขาคือตำนานของสโมสรและก็ของประเทศ เขายังมีพูดอย่างอื่นอีกด้วยซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงาม ผมเริ่มรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา"

ห้วงเวลานั้นคือการที่เฟอร์ดินานด์เดินทางมาถึงหนึ่งในสองครั้งของจุดสูงสุดสำหรับอาชีพของเขา ครั้งแรกคือการได้กลายเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหกสมัย และติดทีมชาติอังกฤษ 81 นัด ซึ่งในบรรดาผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค มีเพียงแค่ บ็อบบี้ มัวร์ กับ บิลลี่ ไรท์เท่านั้นที่ติดทีมชาติมากกว่านี้

ความยิ่งใหญ่ระดับนี้ดูไม่มีวี่แววว่าจะเป็นไปได้เลยสำหรับเฟอร์ดินานด์ในวัยเด็กๆที่เติบโตมาจาก peckham, south London เมื่อย้อนไปตอนนั้นเขามีงานอดิเรกอื่นอยู่ อายุ11ปี ได้ทุนเรียนต่อที่ Central School of Ballet แม้มันอาจจะฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันสามารถช่วยส่งเสริมการได้เป็นนักฟุตบอลของเขา "ความแข็งแกร่ง ความนุ่มนวล การทรงตัว การสมดุล ทุกอย่างนี้มันผนวกเข้าด้วยกัน" เขากล่าว

ทักษะที่สง่างามของเฟอร์ดินานด์เหล่านี้ทำให้เขาเริ่มต้นในตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนที่ภายหลังจะถูกขอให้ย้ายไปเล่นกองหลัง แต่เขาก็ไม่สนใจในความคิดนี้

"ผมอายุ 14 และมีคนบอกว่า ริโอ ฉันไม่อยากให้นายเล่นมิดฟิลด์ตัวกลางแล้ว ฉันอยากให้นายเล่นเซ็นเตอร์แบ็ค"

"เล่นเซ็นเตอร์แบ็คมันไม่เฟี้ยว ผมอยากเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ยิงประตูและเป็นดาวเด่นมากกว่า"

"แล้วพวกเขาก็พูดว่า อืม ใช่ แต่ฉันคิดว่านายจะมีโอกาสที่ดีกว่าถ้าเล่นกองหลัง ผมคิดว่าผมเซ็งไปอยู่ประมาณสองสามสัปดาห์ แต่จากนั้นผมก็คิดได้ว่า ความจริงนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดของผมเลยถ้าอยากจะเป็นนักบอลอาชีพ"

ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เฟอร์ดินานด์จะก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ทันทีในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวเล่นบอล (Ball-playing)

"ผมก็ยังคงทำในสิ่งที่มิดฟิลด์ทำอยู่ ในฐานะที่เป็นกองหลัง ซึ่งนี่น่าจะทำให้ผมแตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ"

"วันต่อๆมา น้องชายผมเอาวิดิโอให้ดู เขาเอาม้วนโฮมวิดิโอออกมาจากห้องใต้หลังคา มันเป็นการแข่งขันของทีมเยาวชนเวสต์แฮมในการเจอกับวิมเบิลดันที่อัพตันปาร์ค และเผชิญหน้ากับ คาร์ล คอร์ท ผมจะไปเคลียร์บอลจากเส้น จากนั้นก็เอาบอลกลับมา ใช้ทักษะเล็กน้อย แล้วก็วิ่งขึ้นหน้า ซึ่งในฐานะเซ็นเตอร์แบ็ค ผมทำสิ่งที่มิดฟิลด์ทั่วๆไปทำกัน มันคือความภูมิใจของผม"

เฟอร์ดินานด์ย้ายไปร่วมทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด หลังจากที่ได้รับความสนใจจากทีมในลอนดอนหลายราย รวมถึง ชาร์ลตัน แอธเลติก เชลซี มิลวอลล์ และ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส แม้กระทั่งจากมิดเดิ้ลสโบรห์ ทีมจากลอนดอนตอนเหนือ

"ผมถูกใจในสิ่งที่เวสต์แฮมบอกมา พวกเขามีไอเดียการทำทีมในอนาคต พวกเขาลงทั้งเงินทุนและลงเวลาให้กับนักเตะในทีมชุดเยาวชน เพื่อที่จะผลักดันให้ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งพอผมได้ยินเช่นนั้นผมคิดว่า ผมน่าจะได้รับโอกาสที่นี่ และผมจะเซ็น"

"ที่พวกเขาพูดมันคือความจริง และไม่ได้มีเพียงแค่ผมด้วย ยังรวมถึงแฟรงค์ แลมพาร์ด, ไมเคิล คาร์ริค, โจ โคล, เกล็น จอห์นสัน, เจอร์เมน เดโฟ, น้องชายผมแอนทอน และยังนำเข้าตัวจากลีกรองเข้ามาอีกมากมาย ซึ่งจากยุคนั้นของผม มีนักเตะถึง 20-25 คน จากสองสามกลุ่มอายุที่ได้ขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพกันทั้งหมด"

เมื่อเฟอร์ดินานด์อายุ 17ปี แฮรี่ เรดแนปป์ ดันเขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และลงเดบิวต์ในเกมเจอกับเชฟฟิลด์เว้นส์เดย์ ในเดือนพฤษภาคมปี 1996

"แฮรี่ส่งผมลงสนามแบบไม่มีแรงกดดัน ถึงแม้ว่าลงไปแล้วจะเล่นพลาด เขาพูดประมาณว่า ริโอ ลงไปเล่นแบบที่เคยทำ ลำเลียงบอลจากแดนหลัง แล้ววิ่งขึ้นไป แบบนั้นจะดูดีเลย แต่ว่าอย่าเล่นพลาดแบบเดิมซ้ำสองครั้ง"

"นั่นคือข้อความสำคัญมากๆจากโค้ชหรือผู้จัดการทีมเลยที่จะมีต่อนักเตะอายุน้อยๆ มันทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีความมั่นใจในการลงเล่นและแสดงฝีเท้าให้เห็น ไม่ต้องกลัวว่าจะเล่นพลาด แต่ให้เรียนรู้ไปในระหว่างที่เล่นเลย และก็อย่าทำพลาดซ้ำสองรอบแบบเดิมๆก็พอ ซึ่งผมก็พลาดเยอะเลยตอนที่ยังเป็นเด็กน้อยในทีมชุดใหญ่ซึ่งก็ทำให้ทีมมีโอกาสเสียประตู แต่ผมรู้ว่าผู้จัดการทีมเชื่อในตัวผม ดังนั้นผมจึงเดินหน้าต่อไป"

เฟอร์ดินานด์พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นนักเตะพรสวรรค์อีกคนหนึ่งของโลกฟุตบอล ผ่านการลงสนามถึง 158 เกมให้กับขุนค้อนภายใต้ยุคของเรดแนปป์ ก่อนที่เมื่อลีดส์จ่ายค่าตัว 18ล้านปอนด์ ซื้อตัวเขาในวัยเพียงแค่22ปีไปร่วมทีมยูงทองในเดือนพฤศจิกายนปี 2000 ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่แพงที่สุดตลอดกาล ซึ่งค่าตัวมันก็มาพร้อมกับแรงกดดันที่เข้ามาด้วย

"แรงกดดันที่หนักหนาที่สุดซึ่งผมสัมผัสได้นั้น มันมาตอนที่ต้องทดสอบระดับความฟิตก่อนที่จะเซ็นสัญญา แล้วมีพวกนักเตะทีมเยาวชนมาดูอยู่" ริโอยิ้มและเล่าต่อมา

"ผมต้องจ่ายบอลไปให้นักกายภาพ แล้วเขาก็จะจ่ายคืนกลับมา ผมไม่เคยรู้สึกกดดันขนาดนี้มาก่อนเลย ตลอดการเป็นนักฟุตบอลมา เพราะว่ามีเหล่าเด็กน้อยกำลังนั่งดูอยู่ และก็คิดในใจว่า นักเตะคนนี้มีอะไร ถึงต้องซื้อมาตั้ง18ล้านปอนด์ มันเป็นอะไรที่โคตรกดดันเลยนะ"

"แต่เพื่อนร่วมทีมผมไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินค่าตัวนั้นเลยนะ นั่นไม่ใช่แรงจูงใจของผมเลย สิ่งสำคัญคือการได้ลงเล่นฟุตบอลในระดับสูงที่ผมสามารถทำได้ และนั่นคือเด็กชายคนนึงที่มีโอกาสเซ็นสัญญากับลีดส์ และจะได้ลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย"

ฤดูกาลแรกที่เอลแลนด์โร้ด เฟอร์ดินานด์พาทีมเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ และยิงประตูแรกให้สโมสรในเกมชนะเดปอร์ติโว ลาคอรุนญ่า 3-0 ในรอบ8ทีมสุดท้าย

"ฤดูกาลนั้นโคตรบ้าเลย ลีดส์ทำผลงานได้ดีมาก ตอนที่ผมย้ายไปพวกเขาตบมิลานและน็อคบาร์ซ่าร่วงเลย และผมคิดว่าเราจะเป็นแชมป์ได้ในปีนั้น แต่เราเจอความยอดเยี่ยมของบาเลนเซียในรอบรอง และพวกเขาถล่มเรา 3-0 ที่สเปน"

บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ความทะเยอทะยานของเฟอร์ดินานด์นั้นไม่หยุดแค่การเข้าถึงรอบรองแชมเปี้ยนส์ลีก แล้วจะทำให้เขารู้สึกว่าสามารถขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปได้สำเร็จ

"ก็ยังไม่สักเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ตกรอบ ผมยังรู้สึกผมยังไปได้อีกเยอะ ผมคิดว่า ว้าว ขนาดบาเลนเซียที่เหนือกว่าพวกเราก็ยังไม่สามารถเป็นแชมป์ได้ในรอบชิงชนะเลิศกับบาเยิร์นมิวนิคเลย ถึงผมจะเล่นได้ดีก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกว่ายังไปไม่ถึงสิ่งที่ต้องการอยู่ดี"

หลังจากฤดูกาลที่ดีๆกับลีดส์อีกหนึ่งซีซั่น เขาก็พร้อมที่จะลงทำศึกให้กับทีมชาติอังกฤษในเกมฟุตบอลโลกปี 2002 และเป็นการได้ลงสนามในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต

เฟอร์ดินานด์เคยติดไปในทีมของเกล็นน์ ฮอดเดิล ในฟร้องซ์ 98 แต่ไม่มีโอกาสลงสนามโชว์ฝีเท้าเลย และก็พลาดการติดทีมชุดลุยยูโร2000ของเควิน คีแกน

ในฟุตบอลโลกปี2002นั้น เฟอร์ดินานด์ลงช่วยพาทีมของสเวน-โกราน อีริคสัน เอาชนะอาร์เจนติน่าไป 1-0 ในรอบแบ่งกลุ่ม และเป็นผู้โขกทำประตูใส่เดนมาร์กในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ว่าจะได้โชคช่วยจากการทำพลาดของผู้รักษาประตูอย่างโธมัส โซเรนเซ่น ที่คว้าบอลพลาดหลุดเข้าประตูไป

"ผมต้องรอจนแน่ใจว่าได้ประตู เนื่องจากมันอาจจะโดนริบลูกนี้ไปก็ได้ เพราะจริงๆแล้วโหม่งไม่ตรงด้วยซ้ำ!"ชายหนุ่มวัย41ปีรายนี้ยิ้ม

"แต่ทัวร์นาเม้นต์นั้นมันถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มคิดแล้วว่า เราเป็นนักเตะระดับท็อป และเราจะก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้น ผมจึงลงเล่นด้วยความรู้สึกสบายใจกับสิ่งตรงหน้า ภายใต้แรงกดดันนั้น เราเจอกับทีมที่ดีอย่างอาร์เจนติน่า และมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ผมต้องดวลกับนักเตะอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า เขาคือหัวหอกหลักของทีม ซึ่งย้อนไปตอนนั้นเขาโคตรเก่งจริงๆ"

เฟอร์ดินานด์ก้มลงไปดูในกระเป๋าของตัวเองและเล่นมุกว่า "บางทีเขาอาจจะยังอยู่สักที่ในนี้อยู่ก็ได้นะ" (ฮา)

เฟอร์ดินานด์ไม่ใช่คนเดียวที่คิดว่าเขาน่าจะกลายเป็นนักเตะระดับแนวหน้าแล้วหลังจากฟุตบอลโลก เพราะอเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ด้วยการจ่ายเงิน 29.3ล้านปอนด์ในการดีลกองหลังวัย23ปีรายนี้เข้ามา หนึ่งเดือนหลังจากที่เสร็จสิ้นศึกฟุตบอลโลกซึ่งจบลงด้วยการคว้าถ้วยเวิร์ลคัพของทีมชาติบราซิล

ลีดส์ล้มเหลวในการทำอันดับไปแชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้นเมื่อกองหลังรายนี้รู้ว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสนใจในตัวเขา ริโอก็อยู่คุยกับปีเตอร์ ริดสเดล ในออฟฟิศ ไม่ยอมไปไหน และคุยให้รู้เรื่องอยู่ถึง6ชั่วโมงเพื่อจะย้ายไปอยู่โอลด์แทรฟฟอร์ดให้สำเร็จ

"ไม่มีทางเลยที่ผมจะไม่ไป ผมทำได้มาทุกอย่างแล้ว ผมได้ทุกอย่างมาครบถ้วนตั้งแต่การคว้าแชมป์สมัยเด็กๆ กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่หลายๆคนต้องทำงานหนักกว่าจะมาถึง ผมไม่อยากเลิกเล่นไปโดยที่ยังไม่คว้าแชมป์มาประดับตู้ ผมรู้ว่าการย้ายมาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะมอบโอกาสที่ดีให้กับผม"

การย้ายทีมทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่แพงที่สุดในโลกเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่โดนแชมป์โลกชาวฝรั่งเศสอย่างลิลิยง ตูราม ทำค่าตัวแซงเขาไปหนึ่งครั้งในราคา 23ล้านปอนด์ ในการย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุสในปี 2001 และทาง FFT ก็ถามเฟอร์ดินานด์ถึงความทรงจำในช่วงนั้น

"เรื่องอื่นที่จำได้ นอกเหนือจากสูทนะเหรอ?(ฮา) มันเป็นวันที่น่าเหลือเชื่อมาก แม้ตอนที่ผมเซ็นสัญญา ผมจำได้ว่าอเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ถามคุณแม่ของผมว่า เขาโอเคไหม เขาแฮปปี้รึเปล่า แล้วแม่ก็พูดว่า หากยังไม่ได้ลงเล่น คุณก็จะยังมองไม่เห็นหรอก จนกว่าจะเห็นเขาลงสนามไปเล่นนั่นแหละ เดี๋ยวก็จะเห็นความสนุกของเขาเอง"

"เรื่องที่จำได้แม่นยำมากที่สุดคือการให้สัมภาษณ์กับสื่อ เพราะพวกเขาถามมาว่า คุณต้องการอะไรในการย้ายทีมในครั้งนี้? ผมตอบว่า เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องย้ายออกจากที่นี่ ผมอยากจะออกจากโอลด์แทรฟฟอร์ดได้อย่างเชิดหน้าชูตาด้วยการจารึกชื่อของตัวเองเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร นั่นแปลว่าผมทำได้ดีเยี่ยม ซึ่งมันหมายถึงถ้วยแชมป์"

และสุดท้ายเขาก็ทำได้เช่นนั้นจริงๆอย่างที่พูด

"ใช่" (ยิ้ม) "มันเป็นช่วงปีที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของผม มันเป็นการทำงานอย่างหนักเป็นช่วงระยะเวลายาวนานร่วมกับบุคคลอันยอดเยี่ยมมากมาย"

ซึ่งในบรรดาคนที่ว่านั้นก็คือ คู่หูระยะยาวอย่าง เนมันย่า วิดิช

"เราแค่สบายๆกับมัน ในความเป็นคู่หูหากมีคุณลักษณะเหมือนกันมันจะทำให้ทำงานคู่กันยาก และเราก็มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็มีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างเราเช่นกัน ตัวผมนั้นชอบเก็บกวาดอยู่ด้านหลัง ถ้ามีใครเกิดปัญหาขึ้นมา ผมคอยเป็นตัวซ้อนให้ ส่วนวิดิชนั้นชอบจู่โจมเข้าหาบอลเลยทันที เขาเป็นตัวเล่นดุดัน"

พวกเขายังหลอมรวมเข้าด้วยกัน โดยแรงกระตุ้นในการจะได้รับการยอมรับจากเฟอร์กูสันด้วย

"เขาแตกต่างจากแฮรี่ เรดแนปป์ในจุดที่ว่า เขาไม่ได้ยกย่องเชิดชูอะไรผมมากนักเพราะกลัวว่าผมจะลำพองตนและเหลิง"


"เขาระวังอย่างมากในประเด็นนั้นกับพวกที่มาจากลอนดอนทั้งหลาย ผมคิดว่าเขาคงมีชุดความคิดเกี่ยวกับคนลอนดอนอยู่นั่นแหละ แต่ว่าบางทีมันอาจจะดีสำหรับผมนะที่เขาไม่ทำแบบนั้น มันเลยทำให้ผมรู้สึกตลอดเวลาว่า ผมมีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองกับเขาให้ได้ ผมกับวิด้าเป็นเหมือนกัน เราเคยคุยกันในเรื่องนี้เยอะเลย"

"เซอร์อเล็กซ์อาจจะชมพวก คริสเตียโน่ รูนีย์ เตเบซ เบอร์บาตอฟ กิ๊กซ์ และ สโคลส์ ว่า ยอดเยี่ยม แต่เขาไม่เคยเอ่ยชื่อพวกเราขึ้นมาเลย เราก็เคยคิดนะว่า พวกกูเก็บคลีนชีทกันแทบทุกอาทิตย์ที่นี่ ทำไมมันเป็นงี้ฟะ?! แต่เมื่อมันเป็นเช่นนี้มันทำให้เรากระหายอยู่ตลอดเวลา เราต้องการจะพิสูจน์ตัวเองกับเขา ให้เขาได้รับรู้ว่า พวกเราทั้งคู่รู้สึกว่าเราก็คู่ควร เหมือนกัน สิ่งนี้มันจึงเป็นการบริหารที่ดีเยี่ยม"

โดยปกติมันก็จะต้องมีโดนแฮร์ดรายเออร์ด้วย

"หลักๆคือหลังเกมกับบาเยิร์นมิวนิค(ในเดือนมีนาคมปี2010) ผมไม่เห็นด้วยกับแทคติกของเขาในเกมนั้น เราแพ้ 2-1 และผมคิดว่าเราควรทำอะไรที่แตกต่างออกไป ดังนั้นผมเลยกรีดร้องและตะโกนออกมา จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาและทุกอย่างต้องหยุดนิ่งลงจากเสียงกรีดร้องและตะโกนใส่ผม!"

เมื่อมองย้อนกลับไป สรุปแล้วคืนนั้นใครถูก?

"ผมถูกสิ เพราะเราแพ้ไง!" (ยิ้ม) "แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะชื่นชมที่ผมตะโกนหรือแสดงอาการต่อต้านบางสิ่ง แทคติก หรืออะไรก็ตามที่เขาพูดออกมานะ  เพราะสิ่งที่ผมทำออกมา มันไม่ได้มาจากมุมมองที่เห็นแก่ตัวของผมเอง แต่มันมาจากมุมมองความคิดที่มีเพื่อทีม เพราะผมต้องการให้พวกเราทุกคนทำออกมาได้ดี"

เฟอร์ดินานด์ไปเล่นฟุตบอลโลกอีกหนึ่งครั้งกับทีมชาติอังกฤษในปี 2006 และสร้างผลงานที่น่าประทับใจได้อีกครั้ง โดยลูกทีมของอีริคสันเสียประตูเพียงแค่สองลูกเท่านั้นจากห้าเกม

"ผมเพิ่งมาเห็นสถิติภายหลัง ผมลงเล่นฟุตบอลโลก10เกม เก็บไป7คลีนชีท มันเป็นสถิติที่น่าเหลือเชื่อมาก เพราะงั้นพวกกองหน้าทั้งหลายเหล่านั้นก็สร้างผลงานไม่สำเร็จเลยสักราย ผมชอบงานใหญ่ๆ เกมใหญ่ๆ ชอบการบิ๊วบรรยากาศ และทุกๆอย่างเกี่ยวกับมัน ผมชอบลงเตะให้ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก"

การลงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่นั่นทำให้เฟอร์ดินานด์ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยหลายฝ่ายมองว่าเวทีฟุตบอลโลกมันคือสุดยอดบททดสอบความสามารถของนักเตะ

"ไม่ ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น แชมเปี้ยนส์ลีกต่างหากที่ใช่ เราลงเล่นในฟุตบอลโลกด้วยความเคารพต่อทุกฝ่าย แต่คุณก็มีโอกาสที่จะเจอทีมอย่างเปรู หรือบางประเทศที่อยู่ในแรงค์อันดับ200ของโลกเป็นต้น แต่ว่าแชมเปี้ยนส์ลีกนั้นมันเป็นที่สุดของระดับหัวกะทิมาเจอกัน ผมคิดว่านั่นคือการแข่งขันที่ยากที่สุดที่จะคว้าแชมป์มาได้"

ยามถูกถามถึงฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเขา อาจจะแปลกใจเล็กน้อยที่เจ้าตัวเลือกเกมในฤดูกาล 2007-08 ซีซั่นที่แมนยูคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ

"คัมป์นู" ริโอกล่าวถึงค่ำคืนเกมที่ยูไนเต็ดกลับไปเล่นที่บ้านด้วยผลการเล่นที่เสมอกันมา 0-0 จากเลกแรกของเกมรอบรองชนะเลิศของพวกเขา ก่อนที่จะเอาชนะได้ในเลกที่สองด้วยสกอร์ 1-0

"เราเก็บคลีนชีทได้ทั้งสองเลก ในรอบรองกับบาร์เซโลน่า ด้วยแผงแนวรุกของพวกเขาที่มีทั้ง ซามูเอล เอโต้, ลีโอเนล เมสซี่ และ เธียร์รี่ อองรี"

"พวกเขามีนักเตะบางคนที่เล่นไม่เข้าท่า และเราจัดการพวกเขาได้ตลอด180นาที ไม่ใช่แค่เฉพาะผลงานส่วนตัวของผม แต่มันหมายถึงทั้งทีม เรามีฟอร์มการเล่นเกมรับที่สุดยอด ซึ่งมันอยู่ที่สมาธิล้วนๆเลย และสมาธิคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับกองหลังคนไหนก็ตาม"

และเมื่อมาถึงรอบชิงชนะเลิศกับเชลซีที่มอสโคว ริโอกล่าวเอาไว้ดังนี้

"มันเป็นคืนที่บ้ามาก บางสิ่งจะติดอยู่ในความทรงจำของผมอีกนานแสนนาน มันคือภูเขาที่คุณคิดว่าคุณไม่มีทางปีนขึ้นไปพิชิตมันได้สำเร็จเลย"

เมื่อจอห์น เทอรี่ ก้าวออกมายิงลูกที่ห้าในการดวลจุดโทษนั้น เฟอร์ดินานด์คิดหรือไม่ว่าชัยชนะของพวกเขามันจบแล้ว?

"ใช่" ริโอยอมรับ

"ผมเห็นเขาซ้อมยิงจุดโทษกับทีมชาติอังกฤษ และเขายิงได้เยือกเย็นและนิ่งมากภายใต้แรงกดดัน ในจุดนั้นผมมองไม่เห็นเลยว่ามันจะพลิกล็อคขึ้นมาได้"

เทอรี่ลื่น และยิงชนเสา ทำให้ต้องดวลกันต่อออกไปแบบ sudden death ซึ่งอันแดร์สัน และ ไรอัน กิ๊กส์ ยิงคนที่หกและเจ็ดของยูไนเต็ด ก่อนที่เอ็ดวิน ฟานเดอซาร์ จะเซฟลูกยิงของนิโกลาส์ อเนลก้า และพาทีมของเฟอร์กูสันเป็นฝ่ายชนะได้สำเร็จ

"ผมนี่แหละที่ต้องยิงเป็นคนต่อไป เพราะงั้นผมแม่งเลยโคตรดีใจที่เอ็ดวินเซฟลูกยิงอเนลก้าได้" เฟอร์ดินานด์เปิดเผยให้เราได้รู้ว่าเขาคือคนที่แปดของรายชื่อยิงจุดโทษของปีศาจแดง

"ขาผมอ่อน และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วย ผมน่าจะยิงไม่เข้านะ ผมเครียดจัดๆเลยตอนนั้น"

"เมื่อสุดท้ายแล้วเราชนะ ความรู้สึกมันน่าเหลือเชื่อมากๆ ทางเดียวที่จะอธิบายฟีลลิ่งนี้ก็คือ ถ้าผมแพ็คความรู้สึกเหล่านี้ใส่กล่องแล้วส่งขาย ผมคงกลายเป็นเศรษฐีแน่ๆ คุณไม่สามารถหาความรู้สึกแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกแล้ว การได้เป็นนักฟุตบอลแล้วพิชิตสิ่งนี้ได้ แม่งบ้าไปแล้วววว"

การที่สามารถท้าทายเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับยูไนเต็ดได้นั้น คือสิ่งที่ทำให้เขาบอกปัดข้อเสนอจากสโมสรโพรไฟล์ดีทั้งหลายจากนอกประเทศมากมาย

"ฟาบิโอ คาเปลโล่ พยายามจะดึงตัวผมไปอยู่โรม่าตั้งแต่ตอนอยู่เวสต์แฮม และภายหลังจากนั้นผมก็ได้รับข้อเสนอจากทั้งเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่าด้วย แต่หากคุณย้ายมาอยู่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแล้วคว้าแชมป์ได้ มันก็ยากที่จะย้ายออกไปไหนอีก การคว้าชัยชนะมันทำให้เราเสพติดมาก และครั้งหนึ่งที่เคยเล่นให้ยูไนเต็ด ผมรู้สึกเหมือนว่าผมอยู่ยอดสูงสุดบนต้นไม้แล้ว"


"ตอนที่ผมได้ข้อเสนอให้ไปเรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่านั้น พวกเขาอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านพอดี ถ้าย้ายไปผมก็จะต้องคาดหวังว่าพวกเขาจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในอีกสองหรือสามปีข้างหน้า แต่ผมไม่อยากต้องรอคอย ผมอยากจะคว้าชัยชนะแบบที่กำลังทำได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆอีก"

เฟอร์ดินานด์คว้าถ้วยเมเจอร์ไปสิบสมัยตลอดระยะเวลาที่ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แม้ในระดับทีมชาติกับอังกฤษจะคลาดแคล้วไปก็ตาม ตัวเขาเองไม่เคยได้ลงเล่นเกมชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป เนื่องจากโดนแบนในปี2004 จากการไม่ยอมตรวจโด๊ป ก่อนที่จะมีโอกาสนำทีมทรีไลอ้อนส์ลงในฟุตบอลโลก 2010 อีกครั้ง แต่ก็บาดเจ็บอยู่เป็นสัปดาห์ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น

"สิ่งนั้นมันเหมือนฆ่าผมเลย แต่บางครั้งการไม่ได้ลงเล่นอาจจะเป็นการทำดีที่สุดของคุณก็ได้ เพราะพวกเราเลวร้ายมาก"

มรดกของเฟอร์ดินานด์ที่มอบเอาไว้ให้กับสโมสรและประเทศนั้นปลอดภัยแล้ว เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์แบ็คที่เก่งที่สุดของอังกฤษ

"มันดีงามเสมอเวลาที่คนพูดกันเช่นนั้น" (ยิ้ม)

"คุณเล่นฟุตบอลเพื่อที่จะคว้าแชมป์และได้รับการยอมรับจากรอบข้าง ผมรู้ดีเสมอถึงคุณค่าของตัวเองต่อทีมที่เล่น และถ้าวันไหนที่ผมไม่อยู่ ผมก็อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า เราไม่ดีเหมือนตอนที่ริโออยู่ ผมก็หวังว่ามันคงใกล้เคียงจะเป็นแบบนั้นนะ"

ซึ่งมันก็มีข้อถกเถียงเล็กน้อยว่า มันมีโพลสำรวจไม่นานมานี้ให้เลือกทีมยอดเยี่ยมของอังกฤษ เฟอร์ดินานด์ถูกเลือกติดมาเคียงคู่กับบ็อบบี้ มัวร์ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค และก็อย่างที่เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนตีสองในค่ำคืนที่มอสโควในปี2008 มีนักเตะสามคนที่ได้เป็นตัวหลักชูถ้วยแชมป์ยุโรปให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด :

บ็อบบี้ ชาร์ลตัน

ปีเตอร์ ชไมเคิล

และ ริโอ เฟอร์ดินานด์

เพราะงั้นก็ไม่เลวหรอกที่เขาจะมีชื่อติดทำเนียบอยู่ด้วย

-ศาลาผี-

Reference

https://www.fourfourtwo.com/features/rio-ferdinand-interview-i-was-so-happy-that-edwin-van-der-sar-saved-anelkas-penalty-in-2008-i-was-next-and-wouldnt-have-scored

https://footballandnietzche.tumblr.com/post/19046779655

https://www.90min.com/in/posts/6489669-rio-ferdinand-explains-how-sir-alex-ferguson-got-the-2011-ucl-final-tactics-wrong

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด