โย่ง วรวุธ : ไม่ดีที่สุด แต่เหมาะสุดเวลานี้

วรวุธ ศรีมะฆะ กลับคืนสู่ทีมชาติอีกครั้ง พร้อมกับผู้ช่วยอย่าง โชคทวี พรหมรัตน์
ชื่ออาจเป็นที่ไม่ถูกใจแฟนบอลบางกลุ่ม แต่ด้วยปัจจัยอะไรหลายอย่าง เชื่อเถิดว่าทั้งสองคือตัวเลือกที่ “เหมาะสม” สุดเวลานี้
หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงไม่เฟ้นหาโค้ชต่างชาติดีดีไปเลย
คำตอบคือ ด้วยระยะเวลาเตรียมทีมที่กระชั้นชิด หากเป็นโค้ชต่างชาติ ต้องผ่านหลายขั้นตอน ทั้งมาตรการป้องกันโควิด การกักตัว หรือเรื่องอื่น ๆ กว่าจะเริ่มขั้นตอนการเตรียมทีมได้ ซึ่งอาจไม่ทันเวลา
ที่สำคัญคือ หากคุณดึงกุนซือต่างชาติที่ไม่รู้จักฟุตบอลไทยเข้ามา ตัวโค้ชที่ไม่รู้จักนักเตะเลย จะมีเวลาศึกษาเด็กไทยได้เพียงไม่กี่นัดจากฟุตบอลลีก (ยังไม่นับนักเตะที่ถูกใจ แต่สโมสรไม่ปล่อยตัวให้อีก เพราะไม่ใช่ช่วงฟีฟ่าเดย์)
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า โค้ชคนไทย ค่อนข้างมีแต้มต่อในครั้งนี้ ทั้งการรู้จักมักจี่ผู้เล่น รู้ว่าเด็กคนไหนเล่นเช่นไร แค่หยิบจับมาต้มยำทำแกงให้รสชาติกลมกล่อม
ทัวร์นาเมต์ระยะสั้นคงต้องใช้วิธีนี้ไปก่อน
![]()
ขณะบางส่วนที่ไม่โอเคกับผลงาน “โค้ชโย่ง” โดยเฉพาะยุคตกรอบแรกเอเชียนเกมส์ 2018 ตั้งคำถามว่า แล้วไม่มีโค้ชไทยรายอื่น ที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ?
สิ่งที่ต้องชี้แจงก่อนคือ รายการนี้กฎหลักคือ เฮดโค้ชต้องมี “โปรไลเซนส์” ซึ่งในเมืองไทยเองก็ไม่ได้มีมาก และที่สำคัญ “มาดามแป้ง” ต้องการโค้ชที่ว่างงานจริง ๆ เพราะไม่ต้องการกระทบกับสโมสรอื่น
เมื่อนำมาพิจารณา โค้ชไทย > มีโปรไลเซนส์ > ว่างงาน มีใครเหมาะสมเท่า วรวุธ อีกหรือไม่ ?
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของ “โค้ชโย่ง” คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และเอาตัวรอดในทัวร์นาเมนต์ระยะสั้น อย่างเช่นยุคซีเกมส์ 2017 ที่พาทีมคว้าแชมป์มาได้ ด้วยกรอบเวลาเตรียมทีมเพียงน้อยนิด แถมยังคุมนักเตะได้อยู่ เด็กให้ความเคารพนับถือ
ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปทัวร์นาเมนต์นี้พอดี
“โค้ชโย่ง” เป็นบอลสไตล์เน้นผลการแข่งขัน รูปแบบการเล่นอาจไม่สวยงามมาก แต่พอได้ โชคทวี ที่เด่นเรื่องเกมรุกมาช่วยจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากเห็นคือการให้ อิสสระ ศรีทะโร เข้ามาเป็นหนึ่งในมือขวาทีมชุดนี้ด้วย
เพราะ “โค้ชหระ” คือคนที่ตามชุดนี้มาตลอด มีข้อมูลนักเตะมากกว่าใคร รู้ว่าใครนิสัย ทัศนคติเป็นอย่างไร
![]()
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการเฟ้นหาโค้ช คือการเรียกนักเตะ
การที่ไม่อยู่ในกรอบฟีฟ่าเดย์ ทำให้สโมสรต่าง ๆ เลือกที่จะไม่ปล่อยตัวนักเตะมากับทีมชาติก็ได้ เพราะต้องยอมรับว่าแข้ง U-23 รายคนเป็นกำลังหลักให้แต่ละทีม
แต่การมี มาดามแป้ง เข้ามาอาจดีตรงที่ ในแง่ของการเป็น “คนกลาง” มากคอนเนคชัน ช่วยเจรจา เป็นคนคอยรับสารจากโค้ช นักเตะ ไปถึงตัวนายกสมาคม
ว่ากันแบบไม่ตอแหล ฟุตบอลไทยมี “มุมแดง” และ “มุมน้ำเงิน” เล่นการเมืองลูกหนังใส่กันมานาน แต่มาดามแป้งอาจเป็นคนที่สามารถเข้าหาไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายได้
อีกอย่างในมุมมาดาม เป็นสไตล์ที่ลุยแหลกอยู่แล้ว เชื่อได้ว่าหากเธอจะทำทุกทางเพื่อเข้าหาทุกสโมสร ให้ปล่อยนักเตะที่ดีสุดออกมา
“เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้”
เป้าหมายคือการเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ทั้งนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช รวมถึงสโมสรต่าง ๆ
ลืมฝันร้ายเก่า ๆ ไป รีเซ็ตกันใหม่
หาความสำเร็จที่จับต้องได้ในระยะสั้นก่อน