:::     :::

จบอย่างสมศักดิ์ศรี

วันจันทร์ที่ 03 มกราคม 2565 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,273
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมบิ๊ก แม็ตช์พรีเมียร์ลีกประจำสัปดาห์นี้ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล จบลงด้วยการแบ่งแต้มกันไปแบบประทับใจแฟนบอลที่เฝ้าติดตามอยู่ทั้งในสนามและหน้าจอ

         หากมองในแง่ของการลุ้นแชมป์ต้องบอกว่าแบบนี้เข้าทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เดินหน้าเก็บชัยชนะต่อเนื่องจนตอนนี้โกยแต้มหนี "สิงห์บลูส์" ผู้ตามห่างเป็น 10 แต้ม ส่วนทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ตาม 11 คะแนนยังมีอีกเกมในมือ แต่ก็ยังถือว่าห่างอยู่ดี

         เท่ากับว่าหากทั้งสองทีมต้องการตาม "เรือใบ" ให้ทันอย่างน้อยทีมแชมป์เก่าจะต้องแพ้อีกถึง 3-4 เกม ในขณะที่พวกเขาเองก็ต้องไม่พลาดเลย ซึ่งต้องบอกว่ายากทีเดียว

         สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถึงขนาดว่า เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล ยกแชมป์ในฤดูกาลนี้ให้กับ แมนฯ ซิตี้ ไปเลย เพราะมองแล้วว่ามันยากที่ทีมตามจะไล่ทัน


         กลับไปที่เกมต้องบอกว่าน่าเสียดายเหมือนกันสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่ออกนำก่อนถึงสองประตูซึ่งไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะปลาอยให้คู่แข่งไลาตามทัน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าทีมที่เจอในวันนี้มีศักยภาพที่ไม่ได้เป็นรอง ดังนั้นมันเกิดขึ้นได้

         เช่นเดียวกันกับ เชลซี เองที่มีโอกาสแซงเข้าวิน แต่เกมนี้ก็ต้องชมผู้รักษาประตูของทั้งสองฝั่งที่ช่วยเซฟไว้ได้หลายครั้งแม้จะเสียกันคนละ 2 ประตูไปก็ตาม

         อย่างที่บอกว่าผลเสมอถือเป็นผลดีของทั้งสองทีมแต่ก็เป็นผลเสียเช่นกัน และตอนนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับลูกทีมก็คงยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิมกับแต้มที่ทิ้งห่างออกไปทำให้พวกเขาเล่นอย่างสบายใจขึ้น และอาจจะมีบางเกมที่สามารถพักผู้เล่นตัวหลักได้

         กับเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์มีปัจจัยที่โดดเด่นจากเกมที่ลองไปดูว่าเป็นอะไร


เชลซี ครองบอลมากกว่าช่วงออกสตาร์ทแต่เป็น ลิเวอร์พูล ที่ขึ้นนำ

          ไม่บ่อยนักที่จะมีทีมไหนที่ครองบอลมากกว่า ลิเวอร์พูล ในแต่ละเกม แต่ทาง เชลซี ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงออกสตาร์ท ครองบอลถึง 65 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 15 นาทีแรก

         ในระบบ 3-4-2-1 เกมรุกที่อาศัยเกมทางริมเส้นโดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ มาร์กอส อลอนโซ่ ร่วมกับ เมสัน เมาท์ และ คริสเตียน พูลิซิช ทำว่าวูบวาบหวังผลได้

         ในขณะที่ทาง ลิเวอร์พูล มาในระบบ 4-3-3 ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะต้องถอยไปรับก่อน รอหาจังหวะโต้กลับเอา


         และเป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่มาได้ประตูจากความผิดพลาดของ เทรโวห์ ชาโลบาห์ ที่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ไปก้มพยายามโหม่งสกัดบอลที่อยู่ต่ำระดับเท้ากลายเป็นเสียบอลให้ ซาดิโอ มาเน่ ฉกมาไปยิงผ่านมือ เอดูอาร์ เมรดี้ ให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 6 

         อาจจะมีกรณีที่ มาเน่ ไปศอกใส่ อัซปิลิกวยต้า ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีที่ออกมาประท้วงกันหลังจบเกมไปแล้ว ซึ่้งหากโดนไล่ออกจริงเกมคงออกมาคนละแบบ

         และหลังผ่านครึ่งทางครึ่งแรกมานิดหน่อยสกอร์ก็ขยับเป็น 2-0 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตักบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาหลอก มาร์กอส อลอนโซ่ ไปยิงมุมแคบเข้าไปอย่างเหนือชั้น

         ถือเป็นสกอร์ที่ขัดกับเกมอยู่เหมือนกันที่ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล จะทำเกมได้เหนือกว่าก็ตาม


สองประตูอันรวดเร็วของ เชลซี

         ดูเหมือนว่าการเสียสองประตูในช่วงครึ่งชั่วโมงของ เชลซี จะทำให้พวกเขาเสียความมั่นใจไป แต่ไม่เป็นอย่างนั้น นักเตะ "สิงห์บลูส์" ยังเดินหน้าสู้และเกมก็ไม่แผ่วลงไปอย่างที่มันควรจะเกิดขึ้น

         กลายเป็นว่าทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ยิ่งบุกหนักกว่าเดิมและหลังจากที่เดินหน้าเข้าใส่ก็มาส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จในนาทีที่ 42 ของเกม

         จากฟรีคิกริมเข้ตโทษด้านขวา มาร์กอส อลอนโซ่ ยัดเข้ามาหน้าประตูโดนชกออกมาบอลลอยมาหน้าเขตโทษ มาเตโอ โควาซิช ยิงแบบใบไม้ร่วงบอลลอยเช็ดเสาในเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม น่าจะเป็นประตูที่ส่งเข้าประกวดเป็นลูกยิงยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลได้เลย

         เท่านั้นไม่พอในช่วงทดเจ็บเจ้าบ้านตามตีเสมอจนได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ สกัดบอลที่กลางสนาม มาเข้าทาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ดีดต่อให้ คริสเตียน พูลิซิช ทะลุเข้าเขตโทษแล้วหวดด้วยซ้ายเสียบตาข่ายสกอร์กลับมาเท่ากันที่ 2-2


โอกาสทั้งสองทีมแต่ไม่มีประตู

         ครึ่งหลังเริ่มต้นพร้อมกับความเข้มข้นในแบบเดียวกับที่เป็นในครึ่งแรกและมีการเซฟอย่างมากมายของผู้รักษาประตูทั้งสองฝั่งในช่วง 15 นาทีแรก

         โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีจังหวะยิงในระยะ 30 หลานาทีที่ 57 แต่ เอดูอาร์ เมนดี้ บินปัดออกหลังไปได้ ส่วนาทีที่ 59 ทาง เชลซี ลุยขึ้่นมา มาร์กอส อลอนโซ่ เปิดบอลจากทางซ้ายเข้ากลางบอลมาถึง คริสเตียน พูลิซิช หวดด้วยซ้ายบอลไปตรง ควีวีน เคลเลเฮอร์ ปัดเอาไว้ได้

         แต่หลังจากผ่านครึ่งทางของครึ่งหลังทั้งสองฝั่งดูเหมือนจะเริ่มเห็นช่องว่างและไม่อยากพลาดและจัดการเปลี่ยนตัวเพื่อแก้ไขมันโดยทาง เชลซี เอา จอร์จินโญ่ แทน เทรโวห์ ชาโลบาห์ เพื่ออัดแดนกลางให้แน่นมากขึ้นนาทีที่ 70 รวมถึงเอา คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย เล่นแทน ไค ฮาแวร์ตซ์ นาทีที่ 79แล้วใช้กองหน้าแบบฟอลส์ไนน์เอา


         ส่วนฝั่ง ลิเวอร์พูล เพิ่มความสดให้ อเล็กซ์ อ็อกเลด-แชมเบอร์เลน กับ เจมส์ มิลเนอร์ แทน ดีโอโก้ โชต้่า และ นาบี เกอิต้า นาทีที่ 69 และนาทีสุดท้ายเอา เคอร์ติส โจนส์ ลงแทน ซาดิโอ มาเน่

         ในส่วนของ มิลเนอร์ นั้นทาง "หงส์แดง" ให้มาช่วย คอสตาส ซิมิคาส ปิดเกมทางซ้ายของ เชลซี ที่โจมตีหนักเหลือเกิน ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีเลย สุดท้ายโอกาสของทั้งสองทีมก็แทบไม่มีอะไรอันตรายจบเกมด้วยการเสมอกันไป


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด