"นรกมาเยือน" จาก 300.. สู่ 10 ชัยชนะเกมเยือนที่ยอดเยี่ยมของแมนยู
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสร้างแลนด์มาร์คใหม่ได้สำเร็จในพรีเมียร์ลีกเมื่อเกมของคืนวันพุธที่ผ่านมา จากการบุกไปเอาชนะ Brentford ถึงถิ่น 1-3 ซึ่งปีศาจแดงเก็บชัยชนะในเกมเยือนได้เป็นเกมที่ 300 ในลีก นับตั้งแต่รีแบรนด์มาเป็นพรีเมียร์ลีกในปี 1992 และนี่คือทีมแรกที่ทำสถิติไปถึงจุดนั้นได้สำเร็จ
เมื่อย้อนกลับไปมอง "300 เกมเยือน" ดังกล่าว นี่คือ 10 เกมเยือนในความทรงจำแฟนบอลที่คว้าชัยชนะจากเจ้าถิ่นมาได้อย่างสวยงาม
เริ่มต้นกันด้วยความทรงจำในค่ำคืนแห่งการบุกไปอัดนอริช ซิตี้ ที่กำลังไล่ล่าแชมป์ลีกในปี 1993 กันไปเลย!!!
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 7 : NORWICH 1 - 3 UNITED (เมษายน 1993)
แมตช์นี้เป็นหนึ่งในสุดยอดการเล่น counter-attack ที่ดีที่สุดตลอดกาล ปีศาจแดงนำถึง 3 ประตูหลังจากเริ่มเกมเยือนไปได้เพียง 21 นาทีต่อหน้าแฟนบอลเจ้าบ้านนกขมิ้นเหลืองอ่อนรายนี้ โดยผู้ทำประตูคือ Ryan Giggs จากลูกแทงช่องให้ปีกพ่อมดของเราวิ่งไปกระชากหนีโกลยิงเข้าไปในเม็ดแรก
ประตูที่สองจากคิลเลอร์พาสแนวลึกที่แทงทะลุรวดเดียวมาให้ "จรวดยูเครน" Andrei Kanchelskis วิ่งสับแหลกที่เชื่อว่า เกมนี้น่าจะเป็นคำตอบได้ดีที่สุดจากการซอยขายิกๆ ทะลึ่งพรวดขึ้นมายังกะจรวด (เร็วเว่อร์ๆ) ก่อนที่จะแตะผ่านผู้รักษาประตู แล้วยิงเข้าไปอีกดอกส์
เจ้านกขมิ้นโดนไป 2 เม็ด จาก "ปีกสองข้างแห่งปีศาจ" ครบเลยทั้งซ้ายทั้งขวา แถมมีปัญหาที่การโดนแทงช่องแล้วเจอตัวสปีดวิ่งแซงแนวรับด้วยทั้งสองลูก (ล็อคหลบโกลสองลูกเลยอีกตะหาก)
ก่อนที่ชายผู้โชคร้ายสุดๆและน่าสงสารสุดๆในวันนั้นอย่างโกลของนอริช จะเจอลูกสามที่ยืนงงในดงแดง และได้รับเกียรติปิดงานจากชายผู้เป็นราชาแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ดตบท้ายให้แบบเนี้ยบๆ
ก็ Eric Cantona นั่นเอง
ก็องโต้เติมมาทางเสาสอง รับบอลจากอินซ์ ยิงนำ3เม็ดให้ทีมเยือนปิดเกมตั้งแต่กรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลาแข่งขัน
(โอ้โห ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ แหม่!!! หรือ You can't believe this! เสียงจากผู้บรรยายเกมนั้นอย่าง Ian Darke พูดตอนที่อินซ์แอสซิสต์ให้ก็องโต้ยิงลูก3เข้าไปอย่างน่าจดจำ)
แมนยูไนเต็ดถล่มนอริชไปอย่างสวยงาม ก่อนที่จะเอาชนะคู่แข่งแย่งแชมป์อย่าง "แอสตัน วิลล่า" (ยุคนั้นเราแย่งแชมป์กับนอริ ช และวิลล่านะเอ้อ!)
และสุดท้าย อย่างที่แฟนผีรู้กัน เราคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 37 : NEWCASTLE 0 - 1 UNITED (มีนาคม 1996)
เป็นการปาดคู่แข่งด้วยชัยชนะ 0-1 ที่สำคัญที่สุดจากประตูของคันโตน่า และเกมนี้เกิดขึ้นหลังช่วงคริสต์มาส จากการไล่แซงนิวคาสเซิลอย่างสะใจทั้งๆที่พวกเขานำอยู่ 12 แต้มในเดือนมกราคม
ท็อปฟอร์มของฝ่ามือหยุดกระสุนรุ่นบุกเบิกอย่าง "ยักษ์เดนส์" Peter Schmeichel หยุดสาลิกาดงได้สำเร็จจากการบุกใส่ยูไนเต็ดจนหลังชนฝา
No Schmeichel.. No Party
คว้าชัยชนะที่เจ๋งที่สุดนัดหนึ่งมาให้กับแฟนบอลปีศาจแดง ก่อนที่จะไล่แซงทีมนี้แหละเข้าป้ายแชมป์อย่างสวยงามแบบพลิกสถานการณ์สุดๆอีกซีซั่นหนึ่งทีเดียว
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 48 : LIVERPOOL 1 - 3 UNITED (เมษายน 1997)
การบุกไปชนะที่สนาม Anfield ได้นั้นเป็นชัยชนะที่เจ๋งที่สุดเสมอในทุกๆครั้งและทุกๆซีซั่น ไม่ว่าจะปีไหนๆที่เราทำได้ แต่เกมนัดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแมตช์ที่ต้องจดจำของเรา เนื่องจากมันเป็นเกมที่ทำให้โอกาสการจะคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ในรอบ 5 ปีของเรานั้นใกล้ความจริงมากขึ้น ในขณะที่ดับฝันลูกทีมของ Roy Evans ไปพร้อมๆกัน
"พัลลี่" Gary Pallister ยิงนำไปก่อนด้วยลูกโขกสาย Power เต็มๆหัวตุงตาข่ายเข้าไปแบบ "มันส์หัว" จริงๆ
เอาจริงๆพัลลิสเตอร์ดูจะโหม่งดีกว่ากองหลังปัจจุบันเราทุกตัวซะอีก
จากนั้นเจ้าบ้านตามตีเสมอจากลูกยิงของนักเตะตำนานอีกคนอย่าง จอห์น บาร์นส ที่เจสัน แม็คคาเทียร์เล่นสั้นจากลูกเตะมุม บอลถูกครอสมาให้กับบาร์นส ที่ยืนโล่งๆไร้ตัว marking ในกรอบเขตโทษ ขวิดเข้าไปคมกริ๊บแบบที่ชไมเคิลปัดไม่ออก ตีเสมอ 1-1
แต่พัลลิสเตอร์ก็บวกประตูที่สองจากการโหม่งเช็ดเอาคืนบาร์นส กันแบบเห็นๆเช่นกัน ขึ้นนำ 1-2
สุดท้าย จากลูกครอสของ แกรี่ เนวิลล์ bombเข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ "เดวิด เจมส์" จะโชว์เครื่องหมายการค้า ออกมาคว้าบอลว่าวอีกครั้ง ลูกเปิดเลยข้ามมาถึงหัวแอนดี้ โคลโหม่งย้อนเข้าไปในที่สุด
ภาพจำเรื่องการพลาดลูกโด่งนี่มันติดตาจริงๆ เดวิด เจมส์
ปีศาจแดงเอาชนะทีมนกแดงไปด้วยเกมแห่งความน่าทรงจำที่ว่า นี่คือ "ศึกกลางเวหา" ที่มีแต่ลูกโขกกลางอากาศล้วนๆทั้ง 4 ประตูจากสองทีม ไม่น่าเชื่อ
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 63 : NOTTINGHAM FOREST 1 - 8 UNITED (กุมภาพันธ์ 1999)
นี่มันสกอร์อะไรกันครับเนี่ย!!!? ปีศาจแดงสร้างสถิติเกมเยือนในลีกครั้งนี้ กับฤดูกาลที่เราฟาดสามแชมป์ได้สำเร็จ คารังเหย้าของทีมเจ้าป่า โดยประตูเบิ้ลจาก "คู่หูนิลกาฬ" สุดยอดกองหน้าแห่งปี 99 อย่าง "แอนดี้ โคล กับ ดไวท์ ยอร์ค" ซัดกันไปคนละ 2 เม็ดให้ปีศาจแดง ซึ่งแค่นั้นก็น่าจะชิลมากๆแล้วสำหรับการคว้าสามแต้มแบบแบเบอร์
ต่อหน้าทีมของ "Big Ron" รอน แอตกินสัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปี 1981-1986
..แต่
"โอเล่ กุนนาร์ โซลชา" ลงมาจากม้านั่งสำรอง แล้วล่อเจ้าป่าไปคนเดียวอีก "4 ประตูรวดภายใน 12 นาที" (ตำนานซุปเปอร์ซับของโอเล่นี่มันเล่าได้ไม่เบื่อจริงๆนะ สุดยอดดดดดดด)
กับสกอร์และการทำประตูในความทรงจำที่สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นชัยชนะที่สร้างตำนานให้ทีมเราได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น
และของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา.. ตำนานตลอดกาลของเรา
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 93 : SPURS 3 - 5 UNITED (กันยายน 2001)
เกมนี้คือที่สุดของที่สุดจริงๆ นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งเกมเยือนในความทรงจำ จาก 300 ชัยชนะในพรีเมียร์ลีกแล้วนั้น นี่คือสุดยอดการคัมแบ็คที่บ้าระห่ำที่สุดตลอดกาลอีกนัดของ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" แบบที่พวกเราแฟนบอลปีศาจแดงโคตรรักทีมนี้
จากการโดนนำ 3 เม็ดแบบเน็ตๆซึ่งชาวไก่ดีใจกันสุดเหวี่ยงที่สนาม White Hart Lane กันแบบไม่รู้มาก่อนว่า อีก 45 นาทีต่อจากนั้นของพวกเขา มันจะกลายเป็นไฟเผาเล้าให้วอดวายอย่างโคตรพ่อโคตรแม่ช็อค
แมนยูไนเต็ดค่อยๆไล่ขึ้นมาทีละเม็ดจาก แอนดี้ โคล, โลร็อง บล็องก์, รุด ฟาน นิสเตอรอย, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน และ สุดท้าย ปิดขบวนอย่างสะใจจากเดวิด เบ็คแฮม
ศพแรกผ่านไป : เฮียเนฟเปิดครอสให้โคลโหม่งไป..
ศพสองอันน่าภูมิใจ : พี่เบ็คเตะมุมให้บล็องก์โหม่งเข้าไปเน้นๆอีกเม็ด (ถึงตอนนี้แฟนไก่น่าจะกัดเล็บกันจนกุดแล้วล่ะ)
ศพสามค่อยๆผ่านไป : ลูกโหม่งอีกแล้วของ รุด ฟาน นิสเตอรอย จากคอมโบเปิดโหม่งจากแบ็คซ้ายอย่างซิลแวสตร์
ศพที่สี่ : ประตูที่สวยสุดๆหนึ่งในสองลูกของปีศาจแดงวันนี้ ลูกยิงในตำนานของ ฮวน เวรอน ตอนที่ค้าแข้งกับเรา จากบอลชิ่งเร็วคืนมาจากโซลชา ให้เวรอนหลุดมาทางซ้าย แล้วยิงด้วยซ้าย เป็นลูกเรียดที่ติดตาสุดๆลูกนึง เข้าประตูไปแบบนิ่มๆ จนSullivanน่าจะอิ่มหมีพีมันในวันนั้น
ศพที่ห้า : ลูกยิงตบหน้าของพี่เบ็ค "เดวิด เบ็คแฮม" ที่โซลชาเป็นคนครอสเข้ามาจากทางซ้าย ให้พี่เบ็คที่ยืนว่างทางขวา และยิงประตูที่น่าจะเป็นหนึ่งในลูกที่เด็ดที่สุดของเฮียเบ็คเข้าไป ตอกย้ำว่าวันนั้นเราจะโกงความตายแบบ 100% ให้จงได้
เท่ที่สุดแล้ววววว
นักเตะและทีมโค้ชสร้างสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เกิดขึ้นสำเร็จ และทำให้แมตช์นี้เป็นมหาวิหารแห่งตำนานสุดยอดเกมคัมแบ็ค และเกมเยือนของเรามาจนถึงทุกวันนี้
รอยยิ้มของป๋าในครึ่งหลังดูเหมือนไม่มีอะไร ยิ้มชิลๆข้างสนาม แต่แก้เกมลงมานรกแตกชะมัด
ไม่รู้ห้องแต่งตัวเป็นยังไงในช่วงพักครึ่ง!!!!
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 112 : NEWCASTLE 2 - 6 UNITED (เมษายน 2003)
ฤดูกาล 2002/03 ถูกจดจำในฐานะที่เป็นซีซั่นแย่งแชมป์กันของยูไนเต็ดกับอาร์เซนอลก็จริง แต่มีนิวคาสเซิลของ เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน เข้ามาร่วมวงแย่งแชมป์ด้วยอยู่ช่วงหนึ่ง โดยสาลิกาดง นิวคาสเซิลตามหลังสองอันดับแรกอยู่ "หกแต้ม" แต่มีเกมอีกหนึ่งนัดอยู่ในมือ ช่วงต้นเมษายน ได้เล่นในบ้าน
แถมมีสถิติเล่นทีมเหย้าที่สุดอลังการ จากการ "ไร้พ่าย" ที่เซนต์เจมส์ปาร์คตั้งแต่กันยายนปี 2002 (ไม่แพ้ใครในบ้านมาเป็นปีอ่ะ พูดง่ายๆ)
แต่ แมนยูไนเต็ดก็มักจะทำให้ชาวบ้านชาวช่องเค้าช้ำใจอีกครั้ง
พลพรรคอสูรแดง ยกพวกไปดับความหวังของพวกเขาคาบ้าน จาก "3ประตู" ของ พอล สโคลส์ ที่แฮตทริกใส่เดอะแม็กพายส์ จากทั้งหมดหกประตูในเกมนั้นอย่างโหดเหี้ยม และไม่ไว้หน้านิวฯจริงๆ
(เป็นอีกทีมนึงที่ปีศาจแดงมักจะบุกไปแล้วยิงได้เยอะมากๆบ่อยจริงๆ สมัยก่อนเจอนิวนี่คือ รอดู 5 ประตูเลยนะ!)
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 132 : ARSENAL 2 - 4 UNITED (กุมภาพันธ์ 2005)
"เดี๋ยวเจอกูในสนาม!" คำพูดของ รอย คีน ที่ซัดใส่ ปาทริค วิเอร่า ในยามที่ อาร์เซนอล-ยูไนเต็ด เตะกันแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนจะฆ่ากันทุกครั้งที่เจอ ซึ่งบอกตรงๆว่ามันเดือดจริงยิ่งกว่าแดงเดือดซะอีกสำหรับการเจอกันของ แมนยูอาร์เซนอลในยุคนั้น
เหตุการณ์ในอุโมงค์ ซึ่งกลายเป็นตำนานครั้งนี้ เกิดขึ้นที่สนามไฮบิวรี่ แต่ก่อนหน้านั้น คณะปืนโตแชมป์เก่าไร้พ่าย 49 เกม ถูกหยุดตัวเลขสถิติไว้ให้ไม่ถึง 50 ลูก แบบสุดสะใจของแฟนแมนยูไปก่อนแล้วที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อเกมแรกที่เจอกันซีซั่น 2004/05 และดูเหมือนว่าโต๊ะน้ำชาอาร์เซนอลจะได้ล้างแค้นคืนจากประตูของวิเอร่า (มีปัญหากับมันอยู่แล้วก็ยังจะโดนมันโหม่งเข้าไปอีก อย่างเซ็ง)
โคตรตำนานมิดฟิลด์ตัวรับ สองกัปตันทีมคู่กัดแย่งแชมป์
ยูไนเต็ดตีเสมอจากคอมโบ สโคลส์ วางยาวมาให้รูนีย์ร่างเด็กนรก เบิ้ลจังหวะเดียวมาให้อย่างเหนือชั้น เข้าตีนชายผู้จงเกลียดจงชังและพร้อมที่จะฉีกอาร์เซนอลให้เป็นชิ้นๆทุกครั้งที่เจอกันอย่าง "ไรอัน กิ๊กส์" ยิงตีเสมอ 1-1 ไปอย่างสวยงาม
แต่อาร์เซนอลขึ้นนำประตูที่สองจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ ที่วิ่งโอเวอร์แลปขึ้นมาทางขวา ก่อนที่ เธียร์รี อองรี จะไหลมาให้เบิร์กแคมป์ซัดด้วยขวาที่คมกริบที่สุดอีกลูกนึง ลอดดาร์คของจอมควักกะปิ รอย แคโรลล์เข้าไปแบบไม่ทันหุบขา
สองตำนานของพวกเขา พาทีมปืนใหญ่นำปีศาจแดงอยู่ 2-1 ในช่วงหมดครึ่งแรก
แต่.. ปีศาจคำรามกลับในครึ่งหลัง ด้วยการยิงสามเม็ดรวด!!!
ครึ่งหลังกลับมา แมนยูไนเต็ดเอาคืนแฟนอาร์เซนอลได้อย่างเจ็บแสบจากการโดนเยาะเย้ยตั้งแต่ครึ่งแรก โดยลูกตีเสมอมาจากแอสซิสต์ของกิ๊กส์ ไหลให้กับ "CR7" ที่อยู่ในร่าง "โด้จิ๋ว" ซัดประตู signature เข้าไปด้วยเท้าซ้ายจากมุมทางซ้าย
และแน่นอนครับ คนอย่างโรนัลโด้เจอด่าเยอะๆ ยิงได้ก็ไปเอาคืนแฟนน่อลทันทีด้วยการวิ่งไปทำท่าจุ๊ปากใส่แฟนบอล เอาคืนที่โดนหยามก่อนหน้านี้อย่างสะใจโคตรๆ (เอาน่า ดีกว่าเจอลูกที่วิ่งไปสไลด์เข่าของอดีตนักเตะบางคนน้า..)
ประตูขึ้นนำ 2-3 จากบอลปีกที่เล่นcounterคืนอาร์เซนอล จากเจ้าเดิม คู่เดิม อย่างไรอัน กิ๊กส์ ที่ไปอยู่ทางขวาได้ยังไงก็ไม่รู้ กระชากหนีโกลอาร์เซนอลที่ออกไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (ออกไปทำไม) กิ๊กส์เปิดด้วยขวาซะยังงั้น บอลครอสเข้ามาให้โรนัลโด้เสาไกล ที่อ่านไทม์มิ่งของลูกบอล จากนั้นใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของชาวดาวยาโดแรต วิ่งเข้าชาร์จลูกนี้เป็นประตูขึ้นนำอย่างสุดมันส์ทันที
และ.. แน่นอน ไอ้หมูรูน กับ เจ็ทโด้ ก็หันไปเย้ยแฟนอาร์เซนอลหลังตาข่ายอีกรอบ โด้ก็จุ๊ปากอีกรอบเช่นกัน ทบต้นทบดอกส์
จากนั้น แม้ฝั่งแมนยูจะเหลือแค่10คน เพราะนักเตะอย่างมิคาเอล ซิลแวสตร์โดนไล่ออกก็ตามที แต่แมนยูกลับยิงประตูตอกฝาโลงน่อลด้วยคอมโบระดับพระเจ้า จากลูกจิ้มเร็วจังหวะเดียวของสโคลส์ที่แสดงความเป็นอัจฉริยะออกมาแบบเห็นๆ
แล้วเจอ "อัจฉริยะอีกคนหนึ่ง" ที่ไม่รู้วิ่งมาจากไหน เติมขึ้นมาได้ยังไง ยังคงสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ แต่ที่แน่ๆ ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่โกลยันกองหน้า และในอนาคตก็จะเป็นผู้จัดการทีมแล้ว ซึ่งไม่แน่ว่าสักวัน เขาอาจจะมาคุมแมนยูจริงๆ เหมือนที่แฟนผียุคนั้นอย่างผู้เขียนได้แต่แซวกันเล่นๆ แต่เหมือนมันจะเป็นจริง
มาดโคตรให้ ใจโคตรเอา แถมลอกท่าไม้ตายเก่าของอดีตเจ้านายมาด้วย
ชายคนนี้วิ่งเติมขึ้นหน้ามาจากไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ นี่คือนักเตะในตำนานที่เอาเลขตำแหน่งไหนมาก็ไม่สามารถระบุได้ว่า หมอนี่ควรจะเป็นแบ็คซ้ายแบ็คขวา กองหน้ากองหลัง เซ็นเตอร์เบอร์4เบอร์5 กลางรับเบอร์6 มิดฟิลด์เบอร์8 หรือ กองหน้าเบอร์9 เพลเมคเกอร์เบอร์10 ..
ไม่มีอะไรมาระบุเขาได้ทั้งนั้น นอกจากการเป็นสุดยอดตัวละครลับ ในตำแหน่ง "False Zero" เจ้าของตำนานจตุรเทพ(ที่มีกัน5คน)ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เขาคือ "จอห์น โอเชีย"
นักเตะผู้วิ่งสอดขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ มารับบอลจากสโคลส์ แล้วชิพนิ่มๆคลาสเดียวกันกับลูกยิงระดับตำนานของก็องโต้ ก่อนที่จะหันมาทำท่าดีใจหน้าตาย ไม่แพ้ท่าเก๊กมองไปรอบๆของเดอะคิงเลยทีเดียว (ฮา)
แมนยูบุกไปเอาชนะได้อย่างสวยงาม 2-4 และเป็นชัยชนะครั้งสุดท้ายในสนามเก่าระดับตำนานของอาร์เซนอล กับภาพจำของไฮบิวรี่ที่แฟนบอลเข้ามาชิดนักเตะจนแทบจะเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว!!!
สุดท้ายอาร์เซนอลก็ย้ายไปเล่นที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในปีต่อไปทันที หลังจากที่แพ้ในเกมนี้
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 159 : EVERTON 2 - 4 UNITED (เมษายน 2007)
เป็นยามบ่ายไร้กาแฟที่ดราม่าที่สุดเกมหนึ่งของพรีเมียร์ลีก เมื่อปีศาจแดงถึงกับเสียวสันหลังที่จะเสียความได้เปรียบต่อคู่แข่งแย่งแชมป์อย่างเชลซี ในเกมนัดนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะสามารถนำคู่แข่งอย่างสิงห์บลูส์ไป5แต้มในตำแหน่งจ่าฝูงได้ในที่สุด
โดยแมนยูโดนนำ 2-0 ก่อนจากเอฟเวอร์ตัน ขณะที่เชลซีเอง นำโบลตันเช่นกันในครึ่งแรกของเกมวันเสาร์ที่เตะกันในช่วงที่เริ่มแข่งในเวลาข้าวเที่ยงกันเลยสำหรับวีคนั้น
ลูกยิงของมานูเอล แฟร์นันด์ส ผู้ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับบรูโน่ ยิงประตูสุดโหดระดับที่น้าซาร์ยังพุ่งไปเซฟที่สามเหลี่ยมไม่ทัน
แต่..
ถึงจะโดนนำสองเม็ด DNAที่ไม่ยอมแพ้ของแมนยูยังคงทำงานได้แน่นอนเหมือนตราชั่งของจอมมารไม่เคยเปลี่ยน นีคือสุดยอดการคัมแบ็ค 4 เม็ดรวดที่นำทัพโดยอดีตนักเตะท็อฟฟี่สีน้ำเงินอย่าง "เวย์น รูนีย์" Once a Blue, always a Red มาเอาคืนทีมเก่า (อย่างเจ็บแสบแทนแฟนท็อฟฟี่เลย)
ประตูตีตื้น 2-1 มาจากนักเตะที่เล่นในตำแหน่ง False Zero อย่าง จอห์น โอเชีย (อีกแล้ว) ขึ้นมาทำประตูที่ผู้รักษาประตูอย่างเทอร์เนอร์รับบอลพลาดง่ายๆ ซ้ำเข้าไปอย่างถูกที่ถูกเวลา ยังกะกองหน้าเบอร์9ธรรมชาติ
ประตู 2-2 จากเด็กเก่าอย่าง ฟิลล์ เนวิลล์ ที่ไม่ได้ตั้งใจช่วยแมนยูไนเต็ดอยู่แล้วเพราะเขามีศักดิ์ศรีมากพอ แต่ก็พลาดทำเข้าประตูตัวเองไปในลูกที่เจ้าบ้านโดนตีเสมอ
และประตูที่แสบสันที่สุดของวัน จากลูกที่เด็กลูกหม้ออย่าง เวย์น รูนีย์ กลับมายิงประตูใส่ทีมสมัยอะคาเดมี่ของเขา ซัดจากมุมซ้ายเข้าไปเป็นประตูขึ้นนำ 2-3 และไปกระโดดหยอยๆเย้ยแฟนท็อฟฟี่หลังประตูตรงนั้น (ติดตาสุดๆ) เป็นประตูสำคัญมากๆที่ทำให้สามแต้มของการคัมแบ็คมาอยู่ในมือยูไนเต็ด
ไม่ใช่รูนอย่าหาทำนะเนี่ย -.,-''
ก่อนจะปิดท้ายแบบเผ็ชๆ จากประตูของปีกในตำนานอย่าง "คริส อีเกิ้ล" ในนาทีทดเจ็บ 90+3 ได้บอลทางซ้ายมุมเดิมกับน้องหมู ก่อนจะตัดเข้าในด้วยขวา ปั๋นโค้งงงงงงงงงง เข้าไปแบบโคตรคลาส ปิดฉากให้แฟนเจ้าบ้านเลิกลุ้นตีเสมอได้เลยในลูกนั้น จากดาวเตะอะคาเดมี่ของเราอีกคนหนึ่งอย่างเจ้าหนูอีเกิ้ล
ซึ่งเขียนมาถึงตรงนี้ หากใครยังจำที่เกริ่นไว้ว่า ช่วงพักครึ่ง เชลซีนำโบตันอยู่นั้น แฟนผีกลับได้ข่าวดีว่า สุดท้ายแล้วเชลซีก็พลาด จบลงด้วยการโดนตีเสมอคาสแตมฟอร์ดบริดจ์ไปในวันเดียวกันนั้นเอง
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 215 : CHELSEA 2 - 3 UNITED (ตุลาคม 2012)
หลังจากผ่านจุดพีคมาแล้วนั้น ทีมของเซอร์อเล็กซ์ก็เจอกับความยากลำบากเสมอที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยที่ไม่ชนะที่นั่นมาเป็นสิบปีกในเกมลีก ช่วงระหว่างปี 2002 ถึง 2012 (สถิติบ้าคลั่งมาก โดยเฉพาะยุคน้ามูนี่แหละตัวการเลย)
แต่สถิติดังกล่าวก็จบลงในเกมนี้ ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 215 ของเราแบบเท่ๆ ด้วยการนำเจ้าบ้านก่อน 0-2 จากลูกยิงชนเสาของRVP มาชนดาวิด ลุยซ์ เข้าประตูตัวเอง และลูกสองจากบอลครอสเรียดของวาเลนเซียยัดเข้ากลางมาถึง RVP ที่จัดระเบียบสังคมด้วยการจัดระเบียบร่างกาย ยิงด้วยขวาเข้าไปแบบดูง่ายๆ ทั้งๆที่ตัวเองถนัดซ้ายมากกว่า
หลังจากนั้นเจ้าบ้านก็ค่อยๆทยอยไล่ตามตีเสมอโดย ฮวน มาต้า ยิงฟรีคิกใส่ดาวิด เดเคอา ไปทางมุมซ้ายที่เห็นไม่บ่อย และลูกต่อมาจาก รามิเรส ตามลำดับ พาเจ้าถิ่นไล่มาเป็น 2-2
แต่เจ้าบ้านเชลซีโดนไล่ออกไปสองคน จากแบ็คขวาFO3อย่าง "โปรโขก" (ชื่อนี้ไม่ได้ยินนานมาก) บรานิสลาฟ อิวาโนวิช และ เฟอร์นันโด ตอร์เรส ที่รีบไปเกณฑ์ทหารทั้งคู่ ทำให้เจ้าบ้านต้องพยายามอย่างหนักที่จะยื้อสกอร์นี้ไว้ให้ได้
แต่ไอ้ตัวแสบของแฟนสิงห์บลูส์อย่าง "ชิชาริโต้" ฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ ยิงประตูชัยจากจุดเริ่มต้นอีกครั้งของ RVP ยิงเข้ามาจนแนวรับเชลซีลำบาก ชิชาริโต้ตามมาซ้ำถึงในกรอบประตูไม่สำเร็จ และเป็นราฟาเอล ที่เปิดยัดเข้ามาอีกครั้ง โดยบอลมาเข้าทางชิชาริโต้ที่วิ่งกลับมาจากตำแหน่งล้ำหน้าในเกมนั้น
จบเรื่องล้ำไม่ล้ำนะ
แต่.. เป็นล้ำหน้าที่ได้ประตูจากการตัดสินผิดพลาดและยืนยันคำตัดสินเดิมในยุคที่ยังไม่มี VAR เจอแซงไปในช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่เป็นสามแต้มหวานเจี๊ยบของแมนยูไนเต็ด แต่ดราม่ากันหนักหน่วงตามระเบียบ
ชัยชนะเกมเยือนนัดที่ 265 : MAN CITY 2 - 3 UNITED (เมษายน 2018)
ยูไนเต็ดเจอความอัปยศที่โดนเพื่อนบ้านน่ารำคาญอย่างแมนซิตี้นำไป 2-0 ในช่วงครึ่งแรก และห่างไกลจากการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างมากกับทีมสีฟ้าร่วมเมืองรายนี้ตามสภาพความเป็นจริง แต่แม้ฟอร์มการเล่นจะห่างกันก็ตามที ปีศาจแดงกลับยิงประตูใส่ทีมที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้ถึง 3 ลูก หากว่า "ใจถึง" และสู้กันสุดชีวิตจริงๆในครึ่งหลัง
จากประตูตีตื้นสุดสวยของทีมเวิร์คยูไนเต็ด เริ่มต้นด้วยการกระชากจากทางขวาของนักเปียโนเก่าอย่าง อเล็กซิส ซานเชส จ่ายเข้ากลางมาให้ "พี่น้อย" อังเดร เอร์เรร่า พักอกเป็นแอสซิสต์สวยๆจังหวะเดียวให้ป็อกบาหลุดเข้าไปยิงเผาขนใส่ซิตี้สำเร็จในลูกแรก
ก่อนที่ลูกที่สอง ปอล ป็อกบา จะเบิ้ลสองประตูด้วยลูกโหม่งที่เปิดมาจากชายเล็กอีกครั้ง วิ่งฉีกหนีบ่ออย่างโอตาเมนดี้ เทคตัวโหม่งเฉือนเข้าไป ตีเสมอ 2-2
ก่อนที่ไฮไลท์สุดท้ายจะมาจากกองหลังตัวกลั่นอย่าง "คริส สมอลลิ่ง" จะวิ่งขึ้นมาแปวอลเล่ย์กลางอากาศจากเซ็ตพีซทางฝั่งซ้าย จนลูกทีมของยอดกุนซืออย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องยืดเวลาที่จะได้ฉลองแชมป์ออกไปยาวนานขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยในช่วงท้ายฤดูกาล
แม้จะได้แค่ชนะในเกมนั้น และไม่ได้มีอะไรให้ลุ้นแชมป์ก็ตาม แต่การคัมแบ็คที่โดนทีมยอดฝีมืออย่างซิตี้ในยุคนี้ นำก่อนถึง 2-0 แต่กลับคัมแบ็คมาได้ 2-3 ก็ถือว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแสดงให้เห็นถึง "ศักดิ์ศรี" ในความเป็นทีมที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆได้เป็นอย่างดี
สถิติเล่นนอกบ้านนำโด่งเมาเลย ตามมาด้วยเชลซีที่ก็มีโอกาสจะไล่ตามทันเหมือนกันในอนาคต หากปีศาจของโทริโกะยังหลับไม่ตื่น
ทั้งหมดนี้คือการรวบรวมเรื่องเล่า และตำนานเก่าๆที่ยังคงมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึง ในขณะที่หลายๆเกมในนี้ อาจจะมีแฟนบอลปีศาจแดงรุ่นใหม่ๆยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ขณะที่แฟนบอลที่เกิดทันหลายคนก็ยังจำได้ หรืออีกหลายคนที่อาจจะลืมไปบ้างแล้ว
หวังว่าบทความนี้จะทำให้ย้อนความทรงจำอะไรดีๆบางอย่างกลับมาให้ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยครับ
และนี่แหละ สิ่งที่เขียนในนี้มันคือความสุขในการดูบอลของเรา Red Devils
"10 จาก 300" กับการเป็นทีมแรกที่เก็บชัยชนะเกมเยือนในพรีเมียร์ลีกถึง 300 เกมได้เร็วที่สุด
-ศาลาผี-
Reference