:::     :::

พ่ายแพ้แต่ภูมิใจ

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,544
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะเหนือ เรอัล มาดริด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-2 ไม่เพียงพอที่จะทำให้ เชลซี ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกปีนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่ามันเป็นหนึ่งในเกมที่แฟนบอลของทีมภูมิใจอย่างที่สุด

         ด้วยสกอร์เกมแรกที่ตามหลัง 1-3 แถมเกิดขึ้นในรังตัวเองด้วยคงไม่มีใครคาดคิดว่าทัพ "สิงห์บลูส์" จะพลิกสถานการณ์เข้ารอบได้ นอกจากแฟนบอลของพวกเขาและสโมสร

         และพวกเขาก็ทำ (เกือบ) สำเร็จ โดยเฉพาะการบุกนำถึง 3-0 แซงหน้าด้วยผลประตูรวม แต่ดันไปโดนตีไข่แตกทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ สุดท้ายโดนเพิ่มอีกลูกกลายเป็นตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

         แต่อย่างน้อยมันก็มีช่วงเวลาที่ทำให้แฟนๆหัวใจพองโต และคนอื่นที่ได้ดูเกมรู้สึกทึ่งกับผลงานและแผนที่ โธมัส ทูเคิ่ล เตรียมมาในเกมนี้อย่างแน่นอน


บุก บุก แล้วก็บุก

         สถิติจากเกมที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบวแสดงให้เห็นว่า เชลซี ครองเกมได้เหนือกว่าในทุกด้านทั้งการครองบอล โอกาสทำประตู ยิงเข้ากรอบ หรือแม้แต่ลูกเตะมุม

         "สิงห์บลูส์" ครองบอลที่ 57 เปอร์เซ็นต์ ตลอด 120 นาที ถือเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาทำได้เหนือกว่าเจ้าบ้าน

         โอกาสทำประตูในเกมนี้ของ เชลซี มากถึง 28 หน ในขณะที่ เรอัล มาดริด มีแค่ 10 ครั้ง โดยเป็นการยิงเข้ากรอบ 7 หนและได้มา 3 ประตู ในขณะที่การเตะมุมนั้นทีมทำได้มากถึง 10 ครั้ง เทียบกับเจ้าบ้านที่ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น


         ประตูแรกของ เมสัน เมาท์ เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาสามารถคุมเกมไว้ได้ตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดแรก และก็เป็นอย่างนั้นตลอดจนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย

เชลซี ที่มุ่งมั่น แต่ เรอัล ก็เด็ดขาด

         แน่นอนว่าเกมนี้ไม่ใช่การเล่นเกมเยือนในแบบทั่วๆไปที่เรามักได้เห็นกัน เมื่อเกมแรกแพ้คาบ้านมาก่อนแถมเสียถึงสามประตู แน่นอนว่าทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ต้องเปิดเกมบุกเสมือนว่าเป็นการเล่นในบ้านตัวเอง

         รูปแบบการเล่นของทีมคล้ายกับเกมที่ทีมบุกถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน 6-0 ในเกมลีกก่อนหน้า แม้จะมีความยากมากกว่าก็ตาม ทีมเอาชนะในการดวลตัวต่อตัว 77 ครั้งต่อ 69 ครั้ง เข้าสกัดบอลสำเร็จมากกว่าหนึ่งครั้ง และดวลกลางอากาศชนะมากกว่าถึงสองเท่า


         แต่ถึงกระนั้นเมื่อเทียบจากโอกาสที่เกิดขึ้นนั้นต้องบอกว่าความเด็ดขาดของทีมไม่ได้เหนือกว่าทาง เรอัล มาดริด เมื่อทีมได้ประตูจากโอกาสที่มี ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน ระหว่างเข้ากรอบ 7 ครั้งได้ 3 ประตูของทีมกับเข้ากรอบ 4 หนได้ 2 ประตูของ "ราชันชุดขาว" 

         เรอัล มาดริด ไม่พลาด "โอกาสใหญ่" ที่ทีมทำได้เลย เรียกได้ว่าความเด็ดขาดในจังหวะเข้าทำนั้นยอดเยี่ยมกับการส่งให้ เชลซี ต้องตกรอบไป


เปลี่ยนแปลงรูปแบบ

         จากความพ่ายแพ้ในเกมแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์อย่างที่เห็นกันว่า อันเดรียส คริสเตนเซ่น โดน วินิซิอุส เล่นงานอย่างหนัก นั่นทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล ตัดสินใจเาอ รีซ เจมส์ มายืนเป็นหนึ่งในสามเซนเตอร์ทางฝั่งขวา พร้อมกับเอา รูเบน ลอฟตัส-ชีค มาช่วยอีกคนทางวิง-แบ็กขวาด้วย

         เช่นเดียวกับวิง-แบ็กทางซ้ายที่ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่เล่นเกมบุกได้ดีลงทำหน้าที่ รวมถึงกองกลางที่ทีมเอา มาเตโอ โควาซิช ที่มีความสามารถในการไปกับบอลได้ดีลงเล่นแทน จอร์จินโญ่ ที่ขาดคุณสมบัติตรงนี้ไป

         ส่วน ทิโม แวร์เนอร์ ที่ทำได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เซนต์ แมร์รี่ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในแนวรุกร่วมกับ เมสัน เมาท์ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ 


         ทุกคนล้วนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี พาทีมคว้าชัยชนะมาครองได้สำเร็จ เพียงแต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ผ่านเข้ารอบต่อไปได้เท่าไร

         แต่อย่างน้อยทีมก็ทำสถิติชนะ 8 เกมติดต่อกันนอกบ้านทุกรายการซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสรปลอบใจกันไป



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด