อันนี้ก็เห็นด้วยว่าไม่เกินจริง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะบทบาทคนคุมทีมเท่านั้น หากแต่กิตติศัพท์ความโหดและกลเม็ดแบบ dirty trick ของ โชโล่ นั้นเป็นที่กล่าวขวัญมาตั้งแต่สมัยค้าแข้งแล้ว
โด่งดังสุดก็เห็นจะไม่พ้นเหตุการณ์ใน ฟร็องซ์ 98 เกมระหว่าง อังกฤษ กับ อาร์เจนติน่า
จังหวะกระแทกใส่ เดวิด เบ็คแฮ่ม จนล้มคว่ำตรงกลางสนาม ยั่วคุณสามีของ พอช สไปซ์ จนตบะแตกเผลอดีดลูกหลังใส่ข้อพับเบาๆ ก่อนจะเล่นใหญ่ทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้น เป็นเหตุให้ คิม มิลตัน นีลเซน ผู้ตัดสินชาวเดนมาร์กตัดสินใจควักใบแดงไล่ เบ็คแฮ่ม ออกจากสนาม
สุดท้ายก็เป็น อาร์เจนติน่า ที่เอาชนะ อังกฤษ ไปได้ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 4-3 (ในเวลาเสมอ 2-2)
อังกฤษ ตกรอบ 16 ทีม ส่วน อาร์เจนติน่า ได้ไปต่อ แต่ไปได้ไม่ไกล เพราะโดน เดนิส เบิร์กแคมป์ สอยร่วงในรอบควอเตอร์ไฟนั่ล
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เบ็คแฮ่ม โดนถล่มเละว่าไม่มีความอดทน อารมณ์ชั่ววูบของเขาเป็นเหตุให้ทีมชาติต้องตกรอบ เขากลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนทั้งชาติ
เดอะ ซัน พาดหัวในวันรุ่งขึ้นว่า “10 ฮีโร่สิงโตกับไอ้เด็กหน้าโง่อีกหนึ่งคน”
ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ Channel 4 ของอังกฤษ เปิดลิสต์ 100 คนอังกฤษที่ถูกเกลียดมากที่สุด และ เบ็คแฮ่ม มีชื่อติดอยู่ในนั้น
14 ปีต่อมา (ปี 2012) ผมโชคดีมีโอกาสสัมภาษณ์ โชโล่ ตัวต่อตัวที่สนามซ้อมเซร์โร่ เอสปิโน่ ย่านมาฆาดาออนด้า ของ แอต.มาดริด (ต้องขอบคุณคุณชีรี่ เลขาฝ่ายการตลาดของแอต.มาดริดที่จัดให้)
การสัมภาษณ์ให้เวลาประมาณ 30 นาที ผมถามเขาถึงเรื่องการคุมทีม,ผลงาน, นักเตะที่ดีที่สุดในโลก เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ ซึ่งตอนนั้นเขาเลือก เมสซี่ แต่เวลาต่อมา เขาเลือก โรนัลโด้
และแน่นอนว่าคำถามสำคัญที่ผมเตรียมไว้ปิดท้ายการสนทนากับเขาก็คือเรื่องนี้
ผม : "ระหว่างคุณกับ เบ็คแฮม วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อยได้มั๊ย ?
โชโล่ : ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือ เดวิด เบ็คแฮม จนกระทั่งมาอ่านหนังสือพิมพ์เจอตอนเช้านั่นแหละ
พูดจบ โชโล่ ก็หันไปมองหน้ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อของ แอตเลติโก ที่คุมสัมภาษณ์อยู่ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วไม่ยอมตอบอะไรเพิ่มเติมอีก เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูกเลย แต่จากการพูดคุยครั้งนั้น ก็ทำให้เข้าใจถึงตัวตนของ โชโล่ ประมาณนึงว่าเขาเป็นคนแบบไหน
และยิ่งเข้าใจมากขึ้น เมื่อในปี 2017 โชโล่ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Perros de la Calle’ (หมาข้างถนน) ทางสถานีวิทยุ ‘Metro951’ ที่ บ้วยโนส ไอเรส,อาร์เจนติน่าบ้านเกิด ถึง เบ็คแฮ่ม และเหตุการณ์ในวันนั้น
“ผมจำไม่ได้ว่าพูดอะไรกับเขา แต่ แบ็คแฮ่ม อยู่ในช่วงฟอร์มสุดยอด”
“เขายังวัยรุ่น ไว้ผมยาวสีทอง เกมวันนั้นต้องยอมรับความจริงว่าเขาเป็นนักเตะที่ดีมาก และผมพยายามมองหาโอกาสสร้างความหงุดหงิดให้กับเขา”
“จังหวะการเล่นนั้นผมเข้าไปทางด้านซ้าย และทำฟาวล์แบบที่ตั้งใจไว้ ผมตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นสักเล็กน้อยเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง และเขาก็เดือดขึ้นมา”
“บางทีพวกคุณอาจคิดว่าเขาคงด่าผมว่า ‘que hijo de puta” (คำหยาบคายของภาษาสเปนแปลว่าไอ้ลูกโสเภณี) แต่เขาไม่เคยพูดมันออกมาเลย”
“เขาแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นเขาต้องแบกรับคำวิจารณ์มากมายมหาศาลจากคนอังกฤษเนื่องจากทีมของพวกเขาตกรอบ”
ส่วนตัว เบ็คแฮ่ม เองก็เผยว่าลูกดีดใส่ ซิเมโอเน่ นั้นเปลี่ยนชีวิตเขา ทำให้เขาต้องเติบโตให้ได้โดยเร็วที่สุด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือความทรงจำที่เขาไม่สามารถลบเลือนมันออกไปได้
ครับ ดูจากสิ่งที่ โชโล่ ทำกับ เบ็คแฮ่ม และฟังจากบทสัมภาษณ์ เห็นได้ชัดว่าเขาทำตามแผนที่วางเอาไว้ โชโล่ ไม่ได้ตั้งใจเล่นงาน เบ็คแฮ่ม แต่ตั้งใจเล่นงานนักเตะที่ดีที่สุดของคู่ต่อสู้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ได้เกลียดชังใครเป็นพิเศษ
หากวันนั้น เบ็คแฮ่ม เป็นแค่นักเตะธรรมดาที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร โชโล่ ก็คงหันไปเลือกนักเตะคนอื่นแทน ซึ่งอาจจะเป็น โมเคิ่ล โอเว่น ก็ได้
แน่นอนที่สุด มันคือการเล่นนอกเกม มันคือทริคสกปรก แต่สำหรับ โชโล่ แล้ว ฟุตบอลคือสงคราม เมื่อลงสนามก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ดราม่ากับ แมนฯซิตี้ ที่ ว่านต๋า สักเท่าไหร่
เจตนาที่เขียนบทความนี้ ไม่ได้เขียนเพื่อปกป้อง โชโล่ แต่อย่างใด ผมไม่ได้คิดว่าเขาทำถูก เพียงแค่ว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกแปลกประหลาดใจใดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะรู้ว่าเขาดำรงตนด้วยคาแรกเตอร์แบบไหนบนถนนสายลูกหนัง
โชโล่ ก็คือ โชโล่ มันแสบแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าคุณดูฟุตบอลของเขา คุณก็ต้องเตรียมใจรอว่าจะได้เห็นเกมแบบไหน
เจมส์ ลา ลีกา
