:::     :::

Reds Recap: 5 ประเด็นเด็ดพร้อมเกร็ดน่าสนใจ เกมเฉือนเรือ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,446
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มันส์ยิ่งกว่าแดงเดือดไปแล้วสำหรับการเจอกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยไหน สนามไหนก็ตาม

1) โรเตชั่นจากเกมกลางสัปดาห์​ทั้งสองทีม

เกมเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศเมื่อคืนนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่เรียกได้ว่าเป็น 45 นาทีที่ผลัดกันเป็นพระเอกกันคนละครึ่งเลยก็ว่าได้ 


แมนฯ ซิตี้ ทำการโรเตชั่นทีมเพียบ เนื่องจากเพิ่งกรำศึกหนักในบอลยุโรปมาหมาด ๆ แถมในถ้วยใบนี้ส่วนใหญ่ เป๊ป ก็มักจะใช้ผู้้ล่นชุดสองลงสนามอยู่แล้วเป็นปกติ


ไล่ตั้งแต่นายทวารเลือกใช้ แซค สเตฟเฟ่น นายทวารชาวอเมริกาที่ลงตัวจริงถ้วยนี้มาตลอด ส่วนแนวรับใช้ นาธาน อาเก้ เล่นเซนเตอร์คู่กับ จอห์น สโตนส์ แบ็คขวาใช้ ชูเอา กานเซโล่ ส่วนด้านซ้ายเป็น โอเล็กซานดร้า ชินเซนโก้ 


แดนกลางมี แฟร์นานดินโญ่, แบร์นาร์โด้ และ ฟิล โฟเด้น ส่วนแนวรุกเป็น กาเบรียล เฆซุส, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แจ็ค กรีลิช


ด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบเนื่องจากเกมกลางสัปดาห์​ได้โรเตชั่นไปแล้ว โดยประตูเป็น อลีสซง เบคเกอร์ แผงแบ็คโฟร์ไล่เรียงไปเลยตั้งแต่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, อิบราฮิมา โกนาเต้ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน 


กลางสนามมีปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเลือกที่จะพักกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไว้เป็นสำรอง แล้วส่ง นาบี เกอิต้า ลงตัวจริงเพื่อประสานงาน ติอาโก้ และ ฟาบินโญ่ ขณะที่ในแดนหน้าก็เป็นชุดที่ดีที่สุดอย่าง หลุยส์ ดิอาซ, ซาดิโอ มาเน่ และ โม ซาล่าห์ ส่วนทางด้าน ดิโอโก้ โชต้า นั่งสำรอง




2) ครึ่งแรกหงส์พระเอก ครึ่งหลังเรือแก้เกมดี

ลิเวอร์พูล ใช้เวลาในช่วง 20 นาทีแรกได้ดุดันและตรงตามแท็กติกของ คล็อปป์ ทุกประการ ทีมเพรสซิ่งหนักตั้งแต่แดนบน และมาได้ประตูแรกจากลูกเซตพีซของถนัด โดยที่ ร็อบโบ้้ เปิดเข้าหัว โกนาเต้ เหน่ง ๆ ซึ่งนี่เป็นการทำประตูได้ 3 นัดติดต่อกันของปราการหลังเฟร้นช์แมนอีกด้วย


จากนั้นเกมเพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล ก็มาสัมฤทธิ์ผล​จากจังหวะที่ สเตฟเฟ่น นายทวารของเรือใบเล่นด้วยเท้าแล้วพลาดจนโดน มาเน่ ฉกไปยิง ซึ่งต้องยอมรับว่าหากทีมไม่บีบเพรสแดนบนแบบนั้น ประตูนี้อาจไม่มีก็ได้ 


ลิเวอร์พูล นำ 2-0 ตั้งแต่ 17 นาที ก่อนจะมาได้ลูกที่ 3 ในช่วงท้ายครึ่งแรกจากการประสานงานของ ติอาโก้ ที่ โชว์การตักบอลอย่างเหนือชั้นให้ มาเน่ จัดการวอลเลย์เข้าประตูไปแบบโคตรสวย จบครึ่งแรกด้วยฟอร์มระดับพระกาฬออกนำทีมแกร่งอย่างเรือใบไกล 3-0


แค่ครึ่งหลัง นอกจาก เป๊ป จะแก้ทางบอลมาได้ดีแล้ว แนวรับของหงส์แดงเองก็ออกลูกประมาทเยอะเกินไป อีกทั้งยังมาโดนตีไข่แตกตั้งแต่ 2 นาทีแรกของครึ่งหลัง จนทำให้ปลุกความหวังของเรือใบขึ้นมา


ทีมของ เป๊ป กลับมาคุมเกม คอนโทรลบอลได้เยอะตามสไตล์ แต่ระเบียบในเกมรับของ ลิเวอร์พูล ยังดี จัดการปิดช่องทางการยิงและร่วมมือร่วมใจกันเล่นเกมรับ กว่าจะมาเสียประตูที่ 2 ต้องรอจนถึงช่วงท้ายเกม ซึ่งสุดท้ายแล้ว เรือใบก็ไล่ไม่ทัน เรียกว่าเกมทั้งสองครึ่งนั้น ใครคมกว่า พลาดน้อยกว่า คือจุดที่ตัดสินเกมอย่างแท้จริง




3) ความแตกต่างคือฟูลแบ็ค

ต้องยอมรับว่าการที่ ซิตี้ ขาด ไคล์ วอล์คเกอร์ ไปทำให้ประสิทธิภาพ​ในเกมด้านข้างลดลงไปเยอะมาก มีเพียงแค่ กานเซโล่ ที่ปั้นเกมและสร้างสรรค์โอกาสได้ดี ส่วนทางซ้ายอย่าง ชินเซนโก้ เกมรับพอได้แต่เกมรุกยังเติมไม่คม จนทำให้อาวุธของ ซิตี้ ลดความน่ากลัวลงไป


ขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล เห็นได้ชัดเจนว่าทั้ง ร็อบโบ้ และ เทรนต์ ล้วนมีส่วนร่วมต่อเกมบุกทั้งคู่ ในรายแรกเป็นคนแอสซิสต์ลูกเตะมุม ส่วนในรายหลังเป็นคนตั้งต้นให้ ติอาโก้ ก่อนที่จะไปจบตรง มาเน่


เกมฟุตบอลยุคใหม่ ผู้เล่นแบ็คทั้งสองข้างค่อนข้างมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะ 3 ทีมนำในพรีเมียร์​ลีก​ล้วนอาศัยทีเด็ดจากแบ็คแทบทั้งสิ้น ดังนั้น ในจุดนี้ที่ ซิตี้ ไม่สมบูรณ์​ จึงเป็นอีกจุดที่ทำให้ประสิทธิภาพ​โดยรวมลดลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ





4) แดนกลางหงส์ประสานงานไหลลื่นกว่า

การที่ ซิตี้ จาด เควิน เดอ บรอยน์ นั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพ​ในแดนกลางชัดเจน ยิ่งพอ ลิเวอร์พูล รู้ว่าไม่มีกองกลางตัวเก่งชาวเบลเยียมลงตัวจริง ในครึ่งแรกจะเห็นได้ชัดเลยว่า 3 ประสานแดนกลางของหงส์แดงคุมเกมได้ดีกว่าของ ซิตี้ เยอะมาก


ฟาบินโญ่ ไบ่ตัดบอลและเป็นตัวกระจายบอลให้ทาง ติอาโก้ ปั้นเกมได้แบบไม่ต้องห่วงอะไรมาก ส่วน นาบีืเกอิต้า ก็ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมได้อย่างไม่มีที่ติ การเพรสซิ่งก็ทำได้เหนือกว่าและค่อนข้างรู้ใจ ขณะที่ทาง ซิตี้ ทำได้ไม่ดีเท่า และ แฟร์นานดินโญ่ เองก็เสียฟาวล์หลายครั้ง อีกทั้งยังตัดเกมแบบหวาดเสียวจนแสดงให้เห็นว่าเขารับมือกับเกมตรงกลางได้ยากมากในเกมนี้




5) หลุยส์ ดิอาซ คือระดับโลก

เกมนี้ เป๊ป โยก กานเซโล่ มาเล่นด้านขวา และต้องยอมรับว่าเหตุผลที่เกมริมเส้นจากฟูลแบ็คของ ซิตี้ ทำอะไรไม่ถนัดเหมือนทุกที เป็นเพราะว่าพวกเขาต้องคอยพะวงกับ หลุยส์ ดิอาซ นี่แหละ


ดิอาซ ทำเกมลากเลื้อยปั่นป่วนได้ตลอด 85 นาทีที่อยู่ในสนาม โดยมีอยู่ชอตนึงที่เขาดูดบอลลงตรงกลางสนาม ก่อนโชว์สเต็ปพลิ้วหนีนักเตะ ซิตี้ ไปดื้อ ๆ สองคนอย่างคล่องแคล่ว จนเรียกเสียงปรบมือดังกึกก้องจากสแตนด์ฝั่ง ลิเวอร์พูล กันเกรียวกราว


สถิติเกมนี้ ดิอาซ ลากเลื้อยผ่านตัวประกบสำเร็จ 4 จาก 5 ครั้ง และเรียกฟาวล์ให้ทีมอีก 4 หน ซึ่งมีแค่ มาเน่ คนเดียวเท่านั้นที่เรียกฟาวล์ได้เยอะกว่า (5 ครั้ง)​ ถือว่าเป็นอีดคนที่โดดเด่นมาก และเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แท็คติกของ เป๊ป นั้นไม่เป็นไปตามแผนอีกด้วย




เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ

- ลิเวอร์พูล​ เข้าชิงเอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2012


- ติอาโก้ ได้เข้าชิงบอลถ้วยเป็นครั้งที่ 4 จาก 5 ฤดูกาล​หลังสุด นับรวมตั้งแต่สมัยอยู่ บาเยิร์น


- อิบราฮิมา โกนาเต้ ลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 22 นัด ยังไม่เคยแพ้ใครเลย และโหม่งทำประตูให้ทีมได้ถึง 3 นัดติดต่อกัน


- ซาดิโอ มาเน่ ถูกโฉลกกับการยิง แมนฯ ซิตี้ มากเป็นอันดับ 2 ในอาชีพของเขา โดยยิงไปแล้ว 9 ลูก ส่วนทีมที่โดนเขายิงบ่อยสุดคือ พาเลซ (13 ลูก)


ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ แม้ว่าใครต่อใครอาจบอกว่ายาก แต่ในทุก ๆ ความสำเร็จนั้น มักเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า "ความเชื่อ" เสมอ



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด