:::     :::

10 ปีผ่านไปกับแชมป์ที่ใฝ่ฝัน

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,018
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ครบรอบ 10 ปีกับการคว้าโทรฟี่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ เชลซี รายการที่ทีมใฝ่ฝันจะได้มาครอบครองนับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรพร้อมทุ่มเงินไม่อั้น

         กับเส้นทางผจญภัยของทีมกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องบอกว่าพลพรรค "สิงห์บลูส์" ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย เหตุการณ์ที่เจ็บปวดแสนสาหัส กระทั่งถึงจุดสูงสุดในค่ำคืนที่มิวนิค

         "การไล่ล่าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ของเชลซี เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจสลายและไร้โชค นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาที่จะคว้าถ้วยรางวัลที่พวกเขาปรารถนา - และเป็นถ้วยรางวัลที่พวกเขาสมควรได้รับ มันยากที่จะนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ทีมที่เก่งกาจและยืนยาวเหมือน เชลซี ชุดนี้ต้องเจอกับความล้มเหลวในการคว้าแชมป์ยุโรป"

         - หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดี้ยน ก่อนการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีก 2012 รอบชิงชนะเลิศ

         ตอนที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยืนรอยิงจุดโทษลูกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เชลซี ช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมาของสโมสรในรายการแชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่บนสองบ่าของเขา ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นที่ต้องเจอกับความคดเคี้ยวก่อนถึงค่ำคืนที่มิวนิคในเดือนพฤษภาคม 2012 แต่หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ และวิ่งเข้าไปซัดด้วยเท้าขวา ปีศาจร้ายในคราบแชมเปี้ยนส์ ลีกได้ถูกพิชิต ถือเป็นครั้งแรกที่ เชลซี คว้าแชมป์ยุโรป เส้นทางของทีมไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร!

        

         การมีส่วนร่วมของทีมกับการแข่งขันในเวทีใหญ่ที่สุดของทวีปเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้วก่อนที่ โรมัน อับราโมวิช จะเข้ามาซื้อสโมสร "สิงห์บลูส์" ที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของ จานลูก้า วิอัลล่า พร้อมด้วยดาวดังมากมายอย่าง มาร์กแซล เดอไซญี่, กุสตาโว่ โปเยต์ และ จานฟรังโก้ โซล่า ชื่อชั้นของแต่ละคนจัดอยู่ในทำเนียบยอดดาวเตะแห่งยุโรปได้อย่างง่ายดาย

         การเล่นฟุตบอลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ เชลซี ผ่านรอบแบ่งกลุ่มทั้งสองรอบ และสร้างเกมน่าจดจำกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เอซี มิลาน และ ลาซิโอ รวมถึง บาร์เซโลน่า ที่มี ฟิโก้, ริวัลโด้ และเพื่อนร่วมทีมที่รอเจอในรอบก่อนรองชนะเลิศซึ่งเกมนัดแรกถือว่าไม่ธรรมดาโดยทาง "เดอะ บลูส์" ออกนำ 3 ประตูก่อนหมดครึ่งแรก ถือเป็นผลงานที่แฟนบอลในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่สุดท้าย 5 จาก 6 ประตูที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เป็นทางฝั่งทีมดังจากกาตาลันที่ยิงได้ส่งให้พวกเขาผ่านเข้ารอบตัดเชือก แต่ว่าความเป็นอริได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

         "ผมจะไม่มีวันลืมบรรยากาศนั้นและความสุขของทุกคนในสนาม' ทอเร่ อันเดร โฟล ที่ทำยิง 2 ประตูในเกมเลกแรกกล่าว "สุดท้ายเชลซีก็สามารถต่อสู้และเอาชนะทีมที่ดีกว่าในยุโรปได้"

         ผ่านไป 3 ปี ก่อนที่การแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีก จะกลับมาที่เดอะ บริดจ์อีกครั้ง แต่หนนี้เหล่าสตาร์ดังที่ตบเท้าย้ายมาร่วมทีมภายหลังการมาของ อับราโมวิช มันหมายความว่าความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้น หลังผ่านรอบแบ่งกลุ่ม และรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างไม่ยากเย็น ไฮไลท์ของการแข่งขันเวทียุโรปฤดูกาล 2003/04 เกิดขึ้นที่สนามไฮก์บิวรี่ที่ประตูในช่วงท้ายเกมของ เวย์น บริดจ์ ได้ยุติสถิติสุดย่ำแย่ที่ทีมไม่สามารถบุกไปโค่น อาร์เซนอล ได้สำเร็จ ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศโดยเขี่ยคู่แข่งร่วมลอนดอนตกรอบไป "นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เชลซี ครองความยิ่งใหญ่เหนือกว่า อาร์เซนอล' บริดจ์ กล่าวในปีต่อมา


         ในการเจอกับ โมนาโก ในรอบรองชนะเลิศ (เลกแรกแพ้ 1-3) ทีมออกสตาร์ทได้เยี่ยมด้วยสกอร์นำ 2-0 ในเกมนัดที่สองในบ้าน "สิงห์บลูส์" มีโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ว่าทีมจากฝรั่งเศสฮึดสู้ และจากความช่วยเหลือจากความผิดพลาดด้านแท็คติกและความผิดพลาดของผู้ตัดสินในตลอด 2 นัด สุดท้ายทีมโดนตีเสมอ 2-2 และต้องตกรอบไป

         ถัดมาในปี 2004/05 เป็นอีกครั้งที่ทีมผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้แบบไม่ยากเย็นนัก แต่ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายทีมมาเจอกับโจทย์เก่าอย่าง บาร์เซโลน่า ซึ่งเกมแรกที่สเปนจบจบด้วยชัยชนะของเจ้าถิ่น 2-1 ส่วนเกมที่สองอันแข้มข้นทีมนำ 3-0 ตั้งแต่ 19 นาทีแรกเท่านั้น แต่กลับโดน โรนัลดินโญ่ เหมาสองลูกไล่เป็น 2-3 และนี่จะทำให้ "เจ้าบุญทุ่ม" เข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน

         แต่ว่า จอห์น เทอร์รี่ ก็มาโหม่งประตูนาทีที่ 76 ให้ทีมชนะ 4-2 รวมผลสองเกมชนะไปสุดมัน 6-5 เข้าไปเจอ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

         เกมกับทีมดังแห่งเยอรมันก็ถูกจัดว่าเป็นการเจอกันที่สนุกสุดๆด้วยชัยชนะของ เชลซี ที่สกอร์รวม 6-5 ให้ทีมเข้ารอบตัดเชือกได้อีกครั้ง โดยไปเจอกับคู่แข่งร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูล 


         เกมกับ "หงส์แดง" เกิดความขัดแย้งขึ้นมากมายโดนเฉพาะ "ประตูผี" ของ หลุยส์ การ์เซีย ที่เป็นประตูเดียวที่ส่งให้ทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องตกรอบท่ามกลางความหัวเสียของเหล่าพลพรรคสีน้ำเงินทุกหมู่เหล่า ทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นศัตรูทีมใหม่ในทันที

         ฤดูกาล 2005/06 ทีมก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้ารอบน็อคเอาท์ได้แต่ครางนี้จอดที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่ายคู่ปรับเก่าอย่าง บาร์เซโลน่า ด้วยสกอร์รวม 2-3 ตามด้วยปี 2006/07 ที่เข้าถึงรอบตัดเชือกอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถข้ามเส้นนี้ไปได้หลังแพ้ ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษ 1-4 หลังเสมอกัน 1-1 ในสองเกม

         แต่ความเจ็บปวดที่สุดคงหนีไม่พ้นรอบชิงชนะเลิศที่มอสโก 2008 ในการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกหนึ่งคู่แข่งร่วมลีก ซึ่งคาาวนี้ทีมข้ามเส้นรอบตัดเชือกสำเร็จในการเจอกับ ลิเวอร์พูล (อีกครั้ง) ด้วยสกอร์รม 4-3 

         คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งประตูให้ "ปีศาจแดง" ออกนำก่อน แต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็มาตามตีเสมอ ทำให้เกมจบลงที่สกอร์ 1-1 สุดท้ายต้องดวลจุดโทษตัดสินซึ่งในขณะที่ โรนัลโด้  (คนที่ 3) ยิงติดเซฟ ปีเตอร์ เช็ก ทาง เชลซี ยิงเข้าหมดทำให้สกอร์อยู่ที่ 4-4 ในขณะที่ "สิงห์บลูส์" มี จอห์น เทอร์รี่ ที่ยิงคนสุดท้ายในญานะกัปตันทีมซึ่งถ้าเข้าไปคงเท่ไปเลย


         แต่ว่าสุดท้ายดันไปลื่นและพลาดทำให้ต้องดวลกันต่อซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่าคู่แข่งยิงเข้าหมดส่วน นิโกล่าส์ อเนลก้า พลาดไปทำให้ทีมชวดแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด

         ชะตายังคงเล่นตลกกับ เชลซี ในเวทีใหญ่ของยุโรป ในอีก 12 เดือนถัดมา ทีมยังคงเดินหน้าโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแต่มันก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ซึ่งทีมตกรอบรองชนะเลิศในการเจอกับคู่ปรับอย่าง บาร์เซโลน่า อีกครั้ง โดยเกมเลกแรกที่สเปนจบลงที่ผลเสมอ 0-0 ส่วนเลกที่สองทีมนำ 1-0 และกำลังจะจบลงด้วยชัยนะแต่ อันเดรส อีเนียสต้า มาตีเสมอให้ "เจ้าบุญทุ่ม" นาที 90+3 ส่งฝั่งน้ำเงินตกรอบอย่างเจ็บปวด

         แน่นอนว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในเกมนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โจที่ผู้ตัดสิน ทอม เฮนนิ่ง โอเฟรโบ ทำหน้าที่ค้านสายตาหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะการปฏิเสธที่จะให้จุดโทษกับ เชลซี

         สำหรับ ปีเตอร์ เช็ก, เทอร์รี่, แลมพาร์ด และ ดร็อกบา ที่ร่วมหัวจมท้ายกับทีมมายาวนานในรายการนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้


         ปี 2010 และ 2011 ทีมต้องตกรอบด้วยการพ่ายให้กับ อินเตอร์ มิลาน (รอบ 16 ทีม) และ แมนฯ ยูไนเต็ด (รอบ 8 ทีม) แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทีมฝ่าฟันได้มาจบลงจนได้ในฤดูกาล 2011/12 ซึ่งการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งต้องบอกว่าเส้นทางของทีมก็ไม่ได้ผ่านมาง่ายๆเหมือนกัน

         ในกลุ่มที่มี เลเวอร์คูเซ่น, บาเลนเซีย และ เกงค์ เป็นเพื่อนร่วมสาย "สิงห์บลูส์" ต้องลุ้นจนถึงเกมสุดท้ายที่เปิดบ้านชนะ บาเลนเซีย 3-0 กว่าจะผ่านเข้ารอบได้ แต่ก็เหมือนมีโชคช่วยนิดๆตรงที่ เกงค์ เสมอกับ เลเวอร์คูเซ่น ในเกมสุดท้ายทำให้ทีมเป็นแชมป์กลุ่ม 

         แต่การเจอ นาโปลี ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ไม่ง่ายเลยเมื่อทีมบุกไปแพ้มาก่อน 1-3 ที่อิตาลี ซึ่งนั่นทำให้ อันเดร วิลลาช-โบอาช โดนปลดจากตำแหน่งและเป็น โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ เข้ามาทำหน้าที่แทน 


         เกมที่สองทีมสู้สุดใจและคว้าชัยชนะได้ด้วยสกอร์เดียวกัน ก่อนที่จะมายิงเพิ่มในช่วงต่อเวลาทำให้ทีมคว้าชัยหวุดหวิด 5-4 เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ทำให้นี่เป็นหนึ่งในค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสแตมฟอร์ด บริดจ์เลยทีเดียว

         "เราแสดงให้เห็นแล้วว่า เชลซี ถูกสร้างมาจากอะไร" จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

         รอบ 8 ทีมสุดท้ายทีมเอาชนะ เบนฟิก้า ได้ทั้งเหย้า-เยือนรวมสกอร์ 3-1 และคู่แข่งในรอบรองชนะเลิศเป็น บาร์เซโลน่า อีกแล้ว! แต่บางทีเทพเจ้าแห่งวงการฟุตบอลก็เข้าข้างทีมบ้างในครั้งนี้ ในเกมแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ทีมเยือนพลาดโอกาสได้ประตูหลายครั้งและเป็น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่ยิงประตูเดียวของเกมให้ทีมชนะไปจากโอกาสไม่กี่ครั้งของทีม

         เกมเลกที่สองอาจจะเป็นหนึ่งในเกมที่วิเศษที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมที่เสียประตูไปก่อนสองลูกแถมมีผู้เล่นน้อยกว่าเมื่อ จอห์น เทอร์รี่ โดนใบแดงไล่ออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 37 ของเกมในขณะที่ทีมตามหลังหนึ่งประตูก่อนจะมาเสียลูกที่สอง แต่ รามิเรส ก็ตีไข่แตกในช่วงทดเจ็บครึ่งแรกให้สถานการณของทีมได้เปรียบอยู่


         การเซฟครั้งแล้วครั้งเล่าของ ปีเตอร์ เช็ก , ลิโอเนล เมสซี่ ยิงจุดโทษชนคาน และในขณะที่ บาร์เซโลน่า บุกกันทั้งทีม เชลซี ก็สวนกลับและ เฟร์นานโด ตอร์เรส ก็ยิงประตูตีเสมอในช่วงทดเจ็บให้สกอร์จบที่ 2-2 รวมผลสองเกมชนะไป 3-2 เข้าไปชิงชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่ผ่าน เรอัล มาดริด มา

         เชลซี ปีนภูเขาหลายต่อหลายลูก แต่ก็ยังมีลูกสุดท้ายให้พิชิต การเจอกับ "เสือใต้" แถมเกมชิงชนะเลิศยังได้เล่นในรังตัวเองเป็นอะไรที่ ในขณะที่ทีมต้องขาดนักเตะถึง 4 คนจากโทษแบนทั้ง บรานิสลาฟ อีวาโนวิช, ราอูล เมยเรเลส, รามิเรส และ จอห์น เทอร์รี่

         แน่นอนว่าแผนการเล่นของทีมคือมีวินัยอย่างที่สุด เล่นเกมรับอย่างเหนียวแน่ แต่ถึงกระนั้นทีมก็เสียประตูในช่วง 7 นาทีสุดท้สยให้กับ โธมัส มุลเลอร์ แต่ว่าทีมไม่ยอมง่ายๆและ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็มาตีเสมอได้ในนาทีที่ 88 ต้องสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งก็มีเหตุการที่ทีมเสียจุดโทษที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ไปฟาวล์ ฟร้องค์ ริเบรี่ แต่ว่า ปีเตอร์ เช็ก ก็เซฟลูกยิงของ อาร์เยน ร็อบเบน ช่วยทีมไว้อีกครั้ง ยิ่งช่วยสร้างขวัญและกำลังใจอย่างมหาศาล


         แต่การดวลเป้าก็ทำเอาแฟนบอลใจหายตั้งแต่เริ่มเมื่อ ฆวน มาต้า ยิงติดเซฟ มานูเอล นอยเออร์ หลัง ฟิลิปป์ ลาห์ม ที่ยิงคนแรกฝั่ง บาเยิร์น มิวนิค ยิงให้เจ้าถิ่นขึ้นนำก่อน

         ทว่าหลังจากนั้นในขณะที่ฝั่งทีมดังจากเยอรมันอย่าง อิวิก้า โอลิช และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ พลาดโดน ปีเตอร์ เช็ก เซฟไป ทาง เชลซี ก็ไม่พลาดเลยและ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็เป็นคนสุดท้ายและสังหารไม่พลาดให้ทีมได้ชูถ้วยแห่งความฝันของทีมนี้

         "การได้เห็น เชลซี ได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีกหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่มอสโกทำให้การนอนหลับยามค่ำคืนนั้นง่ายมากขึ้น" เทอร์รี่ กล่าวหลังได้แชมป์ที่มิวนิค



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด