:::     :::

บทสรุปลา ลีกา 2021-22 ตอน : โควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ลา ลีกา 2021-22 รูดม่านลงเรียบร้อย บทสรุปที่ได้ ไล่เรียงลำดับตามนี้ครับ

  แชมป์ : เรอัล มาดริด 

โควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 อันดับแรก : เรอัล มาดริด,บาร์เซโลน่า,แอต.มาดริด,เซบีย่า

โควต้า ยูโรป้า ลีก : เรอัล เบติส (อันดับ 5และแชมป์โกปา เดล เรย์), เรอัล โซเซียดาด 

โควต้า ยูโรป้า คอนเฟอร์เรนซ์ลีก : บียาร์เรอัล 

ตกชั้น : กรานาด้า,เลบันเต้,อลาเบส


สำหรับ เรอัล มาดริด ถือเป็นแชมป์สมัยที่ 35 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นแชมป์ ลีกา ครั้งแรกของ คาร์โล อันเชล็อตติ โดยกุนซืออิตาเลี่ยนพาทีมเก็บ 86 คะแนน จากผลงาน ชนะ 26 เสมอ 8 แพ้ 4 ยิง 80 เสีย 31 ประตู 

ด้านแนวทางในการทำงาน ตลอดทั้งซีซั่น อันเชล็อตติ แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นไปจาก 4-3-3 มากนัก นอกจากนี้ในส่วนตัวผู้เล่นยังมีการโรเตชั่นค่อนข้างน้อย 


เมื่อดูจากวิธีการใช้งานนักเตะของ คาร์เล็ตโต้ นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่พอสมควร ที่ในฤดูกาลนี้แข้งแกนหลักอยู่ในสภาพฟิตสมบูรณ์ มีปัญหาบาดเจ็บรบกวนไม่มากนัก โดยเฉพาะ ลูก้า โมดริช (28 เกม),คาริม เบนเซม่า (32 เกม)และ โทนี่ โครส (28 เกม) ที่อายุเกิน 30 ตรงนี้ต้องให้เครดิตทีมงานอย่าง อันโตนิโอ ปินตุส โค้ชความฟิต และ โฆเซ่ การ์ลอส Sports therapist ของทีม

เรอัล มาดริด ไม่ได้เล่นดุดันหรือหวือหวา จุดเด่นของพวกเขาอยู่ที่ความคงเส้นคงวา และกลับมาได้เสมอหลังจากความผิดพลาด ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของแชมป์ลีก 


ใน ลา ลีกา มาดริด ไม่เคยแพ้ติดกัน ไม่เคยหลุดฟอร์มยาวๆ ค่าเฉลี่ยในฤดูกาลนี้ ทีมจะแพ้ในทุกๆ 9 นัด ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย

กล่าวกันว่าในการแข่งขันระบบลีก เกมในบ้านจะทำให้คุณอยู่รอด แต่เกมนอกบ้านจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ 

เรอัล มาดริด มีเกมนอกบ้านที่แข็งแกร่งที่สุดในลีก เก็บแต้มได้ใกล้เคียงกับผลงานในบ้าน ซึ่งนับเป็นข้อแตกต่างจากทีมอื่นๆ ในรังพวกเขาเก็บ 44 แต้ม ส่วนนอกบ้านเก็บได้ 42 แต้มซึ่งถือว่าสุดยอดมาก 


มาดริด มีเกมรุกที่ดีที่สุดในลีก และเกมรับที่เสียแค่ 31 ประตู มากกว่า เซบีย่า 1 ประตู ตัวนี้ถือเป็นข้อบ่งชี้อีกอย่างว่าทำไม มาดริด ถึงคว้าแชมป์สำเร็จและคว้าแชมป์ได้เร็ว 


ส่วนปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ก็นับว่ามีผลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับฟอร์มการเล่นของ บาร์เซโลน่า และ แอต.มาดริด ที่ทำได้ต่ำกว่ามาตราฐานเดิม เมื่อมีเพียง เซบีย่า ที่ทำหน้าที่ไล่จี้ ด้วยชั่วโมงบิน ขุมกำลัง และประสบการณ์จึงทำให้ เรอัล มาดริด แทบไม่ได้ต้องเจอกับความกดดันเลยในการเล่นฤดูกาลนี้ 



บาร์เซโลน่า

ด้านยักษ์ใหญ่กาตาลัน บาร์เซโลน่า ปีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างที่ทุกคนทราบกันดี 

การย้ายออกไปอย่างไม่คาดฝันของ ลิโอเนล เมสซี่ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งสภาพจิตใจ และเกมการเล่นในสนาม นอกจากนี้แล้วปัญหาด้านการเงินยังทำให้ช่วงซัมเมอร์สโมสรไม่สามารถเสริมนักเตะเกรด เอ เข้ามาทดแทนได้เลย 

นักเตะใหม่มีคุณภาพไม่มากพอ ขณะที่แข้งดาวรุ่งแม้ฝีเท้าดีแต่ก็ขาดประสบการณ์ในระดับสูง ขาดความคงเส้นคงวา ในส่วนของเทรนเนอร์อย่าง โรนัลด์ คูมัน ก็ไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของนักเตะออกมาได้ 


คูมัน ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่ควร และยังต้องทำงานภายใต้ความกดดัน ซึ่งเขาไม่สามารถแบกรับได้ ในแง่ของการสื่อสาร ค่อนข้างเห็นชัดว่านักเตะยังไม่เข้าใจกับการวิธีของกุนซือดัตช์มากนัก และต้องปรับตัวกันค่อนข้างเยอะ นอกจากนั้นยังมีปัญหานักเตะบาดเจ็บมากมาย ทำให้ในต้นซีซั่นทีมเสียแต้มอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 


การเปลี่ยนแปลงจาก คูมัน มาสู่ ชาบี กระตุ้นให้ บาร์เซโลน่า มีผลงานที่ดีขึ้น เบื้องต้นมาจากความเข้าใจในพื้นฐานของนักเตะของ ชาบี 

อีกส่วนคือความสำเร็จในฐานะนักเตะของ ชาบี ทำให้นักเตะพร้อมที่จะทำตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข ช่วยให้บรรยากาศในทีมดีขึ้น จากนั้นสโมสรได้เสริมนักเตะใหม่เข้ามาในเดือนมกราคม ซึ่งสามารถยกระดับทีมขึ้นมาได้อีก จนเริ่มเห็นเค้าลางที่ดี 


หากมองที่ความเป็น บาร์เซโลน่า ฤดูกาลนี้นับว่าน่าผิดหวังมาก แต่ถ้าพิจราณาจากปัญหาที่มี การที่ทีมกลับมาจบอันดับ 2 ของตาราง พร้อมๆกับการเติบโตของนักเตะดาวรุ่ง ทิศทางที่ทำกำลังก้าวเดินไปในอนาคต มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายจนเกินไปนัก 


แอต.มาดริด

หากตั้งความหวังไว้ที่การป้องกันแชมป์ นี่คือความน่าผิดหวัง ไม่ใช่แค่เพราะสุดท้ายแล้วทีมทำไม่สำเร็จ หากแต่เพราะฟอร์มการเล่นของทีมนั้นแกว่งไปมาอยู่แทบตลอดเวลาจนหมดลุ้นแชมป์ตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนกุมภาพันธ์ 

จุดแข็งของ แอตเลติโก ที่ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จนั้นแตกต่างจาก บาร์ซ่า และ เรอัล มาดริด เพราะอยู่ที่เกมรับ 

ฤดูกาลก่อน แม้การมาของ หลุยส์ ซัวเรซ จะถูกยกย่องว่ามีผลต่อการกลับมาเป็นแชมป์ของทีม หากแต่พวกเขาก็ยังยิงได้แค่ 67 ประตูเท่านั้น แต่เกมรับนั้นเหนียวแน่นมากเสียแค่ 25 ประตูจาก 38 เกม 


มาปีนี้ ซัวเรซ ไม่เหมือนเดิม แต่เกมรุกก็ยังยิงรวมกันได้ 65 ลูกซึ่งถือว่าไม่ต่างกันมากนัก ทว่าเกมรับของ ‘ตราหมี’ กลับแย่ลงกว่าเดิมมาก 

พวกเขาเสียถึง 43 ประตู ซึ่งมากที่สุดในรอบ 10 ปี น้อยกว่าฤดูกาล 2011-12 เพียงฤดูกาลเดียว ที่เสีย 46 ลูก ซึ่งหนนั้นเป็นฤดูกาลแรกที่ โชโล่ ขึ้นคุมแอตเลตโกเต็มตัวและจบอันดับ 5 ของตาราง


เทียบวัดจากจำนวนประตูที่เสียไปแล้วนั้น ต้องบอกว่า แอตเลติโก โชคดีไม่น้อยที่ยังจบ 3 อันดับแรกได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่ 10 ติดต่อกันแล้วที่ โชโล่ นำทีมยืนอยู่บนโพเดี่ยมได้สำเร็จ 

ปัญหาเกมรับของ แอตเลติโก มาจากอาการบาดเจ็บของแนวรับตัวหลักที่สลับกันเจ็บโดยเฉาพะ สเตฟาน ซาวิช กับ โฮเซ่ คิมิเนซ 2 แกนหลัก ที่แทบไม่ได้เล่นด้วยกันเลย 


และเมื่อหลายครั้งผู้ที่ต้องแบกภาระสำคัญในส่วนนี้คือ เฟลิเป้ และ มาริโอ เอร์โมโซ่ ก็ทำให้ทีมเกิดปัญหาอยู่ตลอดเวลา 

เห็นได้ชัดว่า โชโล่ พยายามปรับแก้ปัญหานี้ด้วยระบบการเล่น ซึ่งซีซั่นนี้มีทั้ง 3-5-2 ที่เคยใช้คว้าแชมป์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา, 4-4-2 ซึ่งเป็นแพทเทิร์นหลักของ โชโล่ ช่วง 9 ปีก่อนหน้านี้ นอกจากนี้เรายังได้เห็นระบบ 3-4-1-2,3-4-2-1 และ 4-4-1-1สลับไปมาอีกด้วย 

เดือนมกราคม การเสีย คีแรน ทริปเปียร์ ไป ทำให้ทีมเสียความสมดุล แม้ โชโล่ พยายามแก้ไขด้วยการคว้าตัว ดาเนี่ยล วาส เข้ามาก็ดันโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักตั้งแต่เกมแรกจนหลุดออกจากทีมไป


ยังดีที่ เรนิลโด้ ซึ่งเข้ามาในเดือนมกราคมอีกราย โชว์ผลงานน่าพอใจ ช่วยผยุงเกมรับของทีมให้นิ่งขึ้นมาบ้าง หากแต่ก็ยังไม่ถึงกับเนี๊ยบเพราะตัวนักเตะเองก็ยังต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัว 



เซบีย่า 

ถือเป็นฤดูกาลที่เซบียิสต้าสดูฟุตบอลอย่างมีความสุข พวกเขาก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปของตารางตั้งแต่ต้น และเกาะติดมาตลอด หากแต่ปัญหานักเตะบาดเจ็บที่ประสบตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม ก็ทำให้ทีมแกว่งไปมา 

เซบีย่า เสียตัวหลักในเกมรุกอย่าง ดาบิด ซูโซ่ ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ข้อเท้าหักต้องพักยาวทั้งซีซั่น, จากนั้นมาเสีย ยูสเซฟ เอ็น เนซีรี่ ไป 10 นัด, เอริก ลาเมล่า 16 นัดติด, แฟร์นานโด มิดฟิลด์ตัวรับ เจ็บในช่วง 12 นัดสุดท้าย,เฆซุส นาบาส แบ็กขวากัปตันทีมเจ็บพัก 13 นัดติดในช่วงกลางฤดูกาล 


นี่ยังไม่รวมอาการเจ็บเล็กๆน้อยๆของแกนหลักคนอื่นๆอีก แม้ว่าทีมจะดึงแข้งใหม่เข้ามาในเดือนมกราคม อย่าง เฆซุส โกโรน่า และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล เข้ามา แต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะรายหลักที่ควานหาฟอร์มเก่งไม่เจอเลย ตลอดทั้งซีซั่น เราจึงเห็นได้ว่า ยูเลน โลเปเตกี ต้องทำงานควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา


บางช่วงบางตอนต้องปรับให้นักเตะให้ไปเล่นในตำแหน่งที่ฝืนธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ชูลส์ กูงเด้ ต้องขึ้นมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ โยกเอา มาร์กอส อากุนญ่า ขึ้นไปเล่นเป็นปีกซ้าย เอา ปาปู โกเมซ ไปเล่นด้านข้างบ้าง ตรงกลางบ้าง 

แม้ เซบีย่า จะแผ่วปลายไม่อาจลุ้นแชมป์ได้จนถึงนัดสุดท้าย แต่ก็ต้องชื่นชมว่าด้วยขุมกำลังและปัญหาเผชิญมาตลอดทั้งซีซั่น พวกเขาทำได้น่าประทับใจอย่างมาก 

คว้าโควต้าแชมเปี้ยนส์มาครอง นอกจากนี้ยังเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกอีกด้วย โดยเสียแค่ 31 ประตู จาก 38 เกม  

(อ่านต่อตอนจบวันพรุ่งนี้)


เจมส์ ลา ลีกา 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด