ปรีวิวคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล-ซิตี้
ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นเจอกันถึง 3 นัดในฤดูกาลที่ผ่านมา ผลคือเสมอกัน 2 นัดด้วยสกอร์ 2-2 และ ลิเวอร์พูล เฉือนชนะได้ 3-2 ในรอบรองชนะเลิศถ้วยเอฟเอ คัพ ก่อนจะก้าวไปเถลิงถ้วยแชมป์ได้ในท้ายที่สุด การมาเจอกันอีกครั้งในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ วันนี้ จะไม่ได้เตะกันที่เวมบลีย์เหมือนทุก ๆ ปีนะครับ เนื่องจากในวันพรุ่งนี้สนามเวมบลีย์ต้องรองรับรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลหญิง รานการยูโร 2022 ซึ่งอังกฤษพบกับเยอรมนี จึงทำให้เอฟเอตัดสินใจไปจัดกันที่สนาม คิง พาวเวอร์ ของ เลสเตอร์ แทน เพราะว่าสนามแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากทั้ง 2 สโมสรมากนัก แม้ว่าจะมีความจุเพียง 3 หมื่นกว่าที่นั่งก็ตาม จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่คู่ชิงรายการนี้ต้องมาเตะที่สนามอื่น โดยครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นตอนปี 2012 ซึ่งเตะกันที่ วิลล่า ปาร์ค ซึ่งในคราวนั้นสนามเวมบลีย์ติดภารกิจโอลิมปิค เกมส์ จึงทำให้ต้องโยกไปเตะกันที่วิลล่า ปาร์ค แทน และหากย้อนกลัยไปถึงจุดกำเนิดจะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดเลย เพราะว่าในอดีตตั้งแต่ปี 1908 มาจนถึงปี 1974 ฟุตบอลชิงโล่การกุศลนี้ก็เตะที่สนามอื่น ๆ โดยเวียนไปตลอดตั้งแต่ สแตมฟอร์ด บริดจ์, เมน โร้ด, แอนฟิลด์, โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด, ไฮบิวรี่, วิลล่า ปาร์ค และอื่น ๆ อีกมากมาย ก่อนที่จะมาลงหลักปักฐานเตะในเวมบลีย์ตั้งแต่ปี 1975 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีช่วงหนึ่งไปเตะกันที่สนาม มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ของเวลส์ เพราะช่วงนั้นเวมบลีย์กำลังก่อสร้่างใหม่นั่นเอง ความพร้อมของทั้งสองทีม ลิเวอร์พูล มีปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร โดย คล็อปป์ จะไม่ได้ใช้งานนายทวารมือ 1 กับมือ 2 อย่าง อลีสซง และ เคลเลเฮอร์ เพราะมีอาการบาดเจ็บ และยังจะไม่มี คอสตาส ซิมิกาส, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, คาลวิน แรมซี่ย์ และ ดิโอโก้ โชต้า อีกด้วย ส่วนทางแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง ซิตี้ เอง นั้นประสบปัญหาน้อยกว่า มีเพียงแค่ เอเมอริค ลาปอร์ต เท่านั้นที่ชวดลงสนามแน่ ๆ ส่วนขุมกำลังอื่นก็อยู่กันพร้อมหน้าทุกคน 11 ตัวจริงที่คาดของทั้งสองทีม ลิเวอร์พูล น่าจะมาในระบบ 4-3-3 ตามเดิม ใช้ อาเดรียน เป็นนายทวาร, แบ็คขวาเป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แบ็คซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, คู่เซนเตอร์เป็น เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจเอล มาติป กองกลาง 3 คนได้แก่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รับบทกัปตันทีม, ติอาโก้ อัลคันทาร่า และ ฟาบินโญ่ ส่วนแนวรุกจะเป็น หลุยส์ ดิอาซ, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และ ดาร์วิน นูนเญซ แมนฯ ซิตี้ เองก็มาในระบบ 4-3-3 นายทวารเป็น เอแดร์ซอน, แผงเกมรับ 4 คนได้แก่ ไคล์ วอล์คเกอร์, ชูเอา คันเซโล้, รูเบน ดิอาซ และ จอห์น สโตนส์ กองกลางเป็น แบร์นาโด้ ซิลวา, โรดรี้ และ เควิน เดอ บรอยน์ ส่วน 3 ตัวรุกน่าจะเป็น ริยาด มาห์เรซ, แจ็ค กรีลิช และมี เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ยืนเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ ส่วนนักเตะใหม่ ๆ อย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ กับ จูเลี่ยน อัลวาเรซ น่าจะเริ่มต้นจากม้านั่งสำรองไปก่อน นักเตะที่น่าจับตามอง เชื่อว่าคงหนีไม่พ้นสองกองหน้าค่าตัวแพงอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ที่จะประเดิมสนามในเกมนี้อย่างเป็นทางการทั้งคู่ นูนเญซ ระเบิดฟอร์มกดคนเดียว 4 เม็ด ในเกมถล่ม ไลป์ซิก ช่วงปรี ซีซั่น ส่วนทางด้าน ฮาแลนด์ เองก็เพิ่งทำประตูชัยพาทีมเฉือน บาเยิร์น มิวนิค มาได้เช่นกัน และยังใช้เวลาแค่ 12 นาทีเท่านั้นในการคลำสกอร์แรกของตัวเองให้กับทีมใหม่อีกด้วย สถิติของทั้งสองคนในฤดูกาลล่าสุดก็ถือว่ากินกันไม่ลง นูนเญซ ยิงได้ถึง 26 ประตูจาก 28 นัดในลีกโปรตุเกส ขณะที่ ฮาแลนด์ เองก็ยิงในบุนเดสลีกาไป 22 ประตูจาก 24 นัด ค่าเฉลี่ยความคมสูสีกันมาก ซึ่งในเกมนี้หากทั้งคู่ได้ออกสตาร์ตตัวจริง ก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่าจับตามองมาก ๆ เลยทีเดียว สถิติการเจอกันของ 2 กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั้นมีตัวเลขที่เหนือกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อยู่นิด ๆ ในการเจอกัน โดยทั้งสองคนดวลฝีมือกันมาแล้ว 24 ครั้ง กุนซือชาวเยอรมันชนะไปได้ 10, เสมอ 5 และแพ้ไป 9 ครั้ง ซึ่งการเจอกันนัดล่าสุดคือเกมเอฟเอ คัพ ฤดูกาลก่อนที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซิตี้ ไปได้สุดมันส์ 3-2 ที่สนามเวมบลีย์ ที่น่าสนใจก็คือ ถึงจะชนะมามากกว่า แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่เคยได้แชมป์รายการนี้เลยสักครั้งเดียวนับตั้งแต่คุม ลิเวอร์พูล มา ซึ่งครั้งล่าสุดที่หงส์แดงได้แชมป์รายการนี้ต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2016-17 ในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ เลยทีเดียว ขณะที่ เป๊ป เองนั้นได้แชมป์รายการนี้มาแล้ว 2 ครั้งติดคือในปี 2019 กับปี 2020 ส่วนสถิติโดยรวมในถ้วยใบนี้นั้น ลิเวอร์พูล เองได้แชมป์มากถึง 15 ครั้ง สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์รองลงมาจาก อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น ส่วนทางด้าน แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์มาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่ง 2 จาก 6 ครั้งมาจากผลงานของ เป๊ป นั่นเอง ความน่าจะเป็นของเกม ทั้งสองทีมน่าจะใส่เต็มสูบมากกว่าเกมปรี ซีซั่น ที่ผ่าน ๆ มา เพราะนี่คือการลองทีมนัดสุดท้ายก่อนลุยสนามจริงในอักสัปดาห์ข้างหน้า รูปเกมคงออกมาสูสี วัดกันที่แดนกลางและตัดสินกันที่ความคมในการจบสกอร์ ซึ่ง ลิเวอร์พูล เองอาจน่าห่วงนิด ๆ ที่ไม่มี อลีสซง เฝ้าเสา แต่ทว่า อาเดรียน เองก็เป็นประตูฝีมือดีไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไหร่ แม้จะอายุ 35 ปี แต่ประสบการณ์ของเขาถือว่าเพียบแปล้เลยทีเดียว ซิตี้ จะน่ากลัวมากขึ้นเพราะมีกองหน้าตัวเป้าแล้ว แถมยังเป็นถึงระดับ ฮาแลนด์ อีกด้วย หากแนวรับหงส์หลุดสมาธิก็อาจโดนทีเด็ดของกองหน้าชาวนอร์เวย์เล่นงานก็เป็นได้ สกอร์ที่คาด ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-1