การเริ่มต้นที่ต่างกันราว 'ฟ้า' กับ 'เหว'
ย้อนไป 12 เดือนก่อน อาร์เซน่อล เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการแพ้ตลอด 3 นัดแรกกับการเจอน้องใหม่ เบรนท์ฟอร์ด,แชมป์ยุโรป เชลซี และแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พวกเขาจมบ๊วยของตารางอย่างน่าอนาถ เกมรับเสียไป 9 ประตู และยิงใครไม่ได้เลย
เป็นสถานการณ์ที่ต่างจากฤดูกาลนี้ลิบลับ
ชัยชนะนัดล่าสุดเหนือ บอร์นมัธ 3-0 ทำให้ อาร์เซน่อล ได้ขึ้นนำจ่าฝูงเดี่ยวๆ ครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่ออกสตาร์ตด้วยการชนะรวด 3 นัด
แม้เป็นเพียงการเริ่มต้น ยังไม่ใช่บทสรุปของฤดูกาลนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้แฟนบอลปืนใหญ่ได้มีรอยยิ้มกันถ้วนหน้า และมีความหวังมากขึ้นในฤดูกาลนี้
แฟนบอลต่างตะโกนชื่อ มิเกล อาร์เตต้า หลังจบเกมที่ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ซึ่งเมื่อหนึ่งปีก่อน อาร์เตต้า คนเดียวกันนี้เจอความกดดันถาโถมเข้าใส่อย่างหนัก และเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง
"อารมณ์ความรู้สึกของเราแตกต่างออกไปมากๆ" อาร์เตต้า ตอบคำถามเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
"แน่นอนว่าทุกคนต่างมีความสุข ทุกคนต่างสนุกไปด้วยกัน และเราจำเป็นต้องรักษาโมเมนต์นี้เอาไว้ให้ได้ ถ่อมตัวและไม่หยุดพัฒนา"
อาร์เตตต้า ยืนยันว่าการขึ้นนำจ่าฝูงหลังผ่านสัปดาห์ล่าสุดไม่ได้มีความหมายมากนักเพราะฤดูกาลเพิ่งเริ่มต้น
"มันเป็นเพียงสามแรกเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายใดๆ" อาร์เตต้า ย้ำ
"สิ่งที่มีความหมายคือเราเก็บชัยชนะได้สามนัด เรายิงประตูได้ รักษาคลีนชีตได้ และทีมกำลังทำผลงานได้ดี"
สิ่งที่ อาร์เตต้า พูดนั้นถูกต้องเพราะเส้นทางในฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกล แต่การเริ่มต้นได้แบบนี้ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเมื่อเทียบกับ 12 เดือนก่อน
หลังจบเกมที่พ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-5 อาร์เซน่อล หล่นไปอยู่อันดับสุดท้ายของตารางโดยไม่มีแม้แต่คะแนนเดียวติดมือก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติ
มีเพียง 3 คนที่เป็นตัวจริงในเกมกับเรือใบสีฟ้าคือ บูคาโย่ ซาก้า, กรานิต ชาก้า และ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ได้ออกสตาร์ตตัวจริงในเกมพบ บอร์นมัธ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
สิ่งนี้เห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทีมอย่างมาก
ใน 3 นัดแรกของฤดูกาลก่อนที่ทำประตูไม่ได้เลย พวกเขามีโอกาสลุ้นยิงเข้ากรอบทั้งหมดเพียง 7 ครั้ง แต่ 3 นัดแรกของฤดูกาลนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 15 ครั้ง
ส่วนเกมรับที่เคยปล่อยให้คู่แข่งได้ลุ้นยิง 55 ครั้ง (ตรงกรอบ 18 ครั้ง) ก็ลดลงเหลือ 22 ครั้ง (ตรงกรอบ 5 ครั้ง)
เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นทั้งเกมรุกและเกมรับ
ปัจจัยสำคัญคือการมาของบรรดาแข้งใหม่ไม่ว่าจะเป็น กาเบรียล เชซุส และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ จาก แมนฯ ซิตี้ รวมไปถึง วิลเลี่ยม ซาลีบา ที่ขัดเกลากระดูกอยู่นานสามปีก่อนได้เป็นตัวหลักในฤดูกาลนี้
เชซุส ตอบโจทย์ตำแหน่งหน้าเป้าที่เคยเป็นปัญหาในฤดูกาลที่แล้ว เขาไม่เพียงทำประตูได้ดี แต่ยังเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมใหม่และมีส่วนร่วมในการเล่นตลอด
อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดในการเล่นของ เชซุส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาท้ายๆ ก่อนออกจาก แมนฯ ซิตี้ คือ ความมั่นใจในการเล่น
จุดเริ่มต้นในประตูแรกของ อาร์เซน่อล ต้องให้เครดิตหัวหอกบราซิเลียนที่เบียดกระแทกผู้เล่น บอร์นมัธ ก่อนดึงบอลโด่งลงอย่างนิ่มนวล จากนั้นเลี้ยงแหวกคู่แข่งอีก 3 คนก่อนจ่ายให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ยิงติดเซฟจังหวะแรกเข้าทาง มาร์ติน โอเดการ์ด ซ้ำง่ายๆ เข้าไป
ขณะที่ ซินเชนโก้ ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นอีกนัด เขาทำให้วิธีการเล่นของ อาร์เตต้า ลงตัวมากขึ้นกับการขยับขึ้นไปเล่นกองกลางในเวลาที่ทีมดันเกมรุกซึ่งเป็นสไตล์ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดัดแปลงให้ฟูลแบ็กเล่นต่างออกไปจากที่เคย
ส่วน ซาลีบา กับการที่แฟนบอลร้องเพลงเชียร์อย่างกึกก้องหลังจบเกมก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงผลงานอันยอดเยี่ยมในสนามได้เป็นอย่างดี
ปราการหลังวัย 21 ปี รักษามาตรฐานการเล่นได้ไม่ต่างจากสองนัดแรก เกมรับไม่มีข้อผิดพลาด นิ่งและเล่นเนียนตาเกินอายุ แถมยิงประตูสุดสวยที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความเซอร์ไพรส์
ที่พิเศษอีกอย่างคือการผ่านบอลไม่มีพลาดเลย เข้าเป้าตลอด 76 ครั้ง สถิติ 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะ และเป็นกองหลังคนแรกของทีมที่ทำได้นับตั้งแต่มีเก็บบันทึกสถิติโดย Opta ตั้งแต่ฤดูกาล 2003/04 เป็นต้นมา
นี่คือ 3 ผู้เล่นที่มีส่วนทำให้ อาร์เซน่อล เริ่มต้นฤดูกาลได้ยอดเยี่ยม
"เราสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกมาก" อาร์เตต้า กล่าวถึงสิ่งที่ทีมจะก้าวต่อไปข้างหน้า "เราต้องเริ่มซ้อมกันอีกครั้ง ทำให้ดีขึ้นในจุดอื่นที่ควรต้องทำให้ดีเช่นกัน และโฟกัสไปที่เกมกับ ฟูแล่ม (วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม)"
อาร์เตต้า และ เอดู ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค รู้ดีว่า อาร์เซน่อล ชุดนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากโดยเฉพาะกับการกลับไปอยู่แถวหน้าอย่างที่เคยเป็นในอดีต
แต่การเริ่มต้นที่ต่างกันราว "ฟ้า" กับ "เหว" เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าทีมกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง
ความท้าทายต่อไปก็คือการประคับประคองทีมให้อยู่บนเส้นทางที่พวกเขา "เลือก" และเชื่อมั่นนี้ไปตลอดรอดฝั่งให้ได้