โซลันกี้ ขอแจ้งเกิดอีกครั้งที่ บอร์นมัธ
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับทีมใหญ่และเคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นแค่นักเตะที่ค่าตัวแพงเกินฝีเท้า ปัจจุบัน โซลันกี้ ในวัย 25 ปีกำลังกลับมาสร้างชื่อและขอพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับ บอร์นมัธ ด้วยฟอร์มการเล่นที่โตขึ้นตามวัย อาจจะไม่ได้ยิงประตูถล่มทลาย แต่ผลงาน 3 ประตู 4 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือคีย์แมนในแดนหน้าคนสำคัญของ บอร์นมัธ โดมินิค โซลันกี้ เกิดที่เรดดิ้ง เป็นชาวอังกฤษที่มีเชื้อสายไนจีเรีย เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลอาชีพด้วยการอยู่ในอะคาเดมี่ของ เชลซี มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และทำผลงานในทีมเยาวชนโดดเด่นมาตลอด เมื่ออายุได้ 17 ปี เขายิ่งเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เคยยิงให้ทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปีได้ถึง 20 ประตูจาก 25 นัด อีกทั้งยังเหมาสองในเกมนัดชิงถ้วยเอฟเอ ยูธ คัพ ตอนปี 2014 และยังอยู่ในชุดที่คว้าแชมป์รายการนี้สองสมัยติด รวมถึงคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูธ ลีก ได้อีกด้วย โซลันกี้ ทำประตูในเกมรอบชิงให้ทีมได้ทั้งสองรายการ โดยเฉพาะในรายการ ยูฟ่า ยูธ ลีก เขาทำไปถึง 12 ประตูจาก 9 นัด จนได้รับการจับตามองว่าเป็นกองหน้าอนาคตไกล ได้รับรางวัลดาวรุ่งแห่งปีของ เชลซี และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เรียกมาซ้อมในทีมชุดใหญ่ตอนปี 2015 ก่อนจะถูกส่งลงสนามในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้วด้วยวัยเพียง 17 ปีกับอีก 1 เดือนเท่านั้น ฟอร์มในทีมเยาวชนอันโดดเด่นทำให้ โซลันกี้ ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนในทันที เขาเป็นตัวหลักในการพาทีมคว้าแชมป์ยูโรชุดอายุต่ำกว่า 17 และแชมป์โลกชุดอายุต่ำกว่า 20 โดยในทัวร์นาเมนต์หลังนี้เขาได้นักเตะยอดเยี่ยมควบคู่กับดาวซัลโวอีกต่างหาก แม้จะเป็นดาวรุ่งฝีเท้าดีที่ เชลซี แต่สุดท้าย โซลันกี้ ถูกปล่อยตัวออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์ปีื 2017 หลังจาก อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือของทีมไม่ต่อสัญญากับเขา สุดท้าย โซลันกี้ จึงระเห็จไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล โดยหวังว่าการทำงานกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะช่วยพัฒนาตัวเขาให้ไปอยู่ในระดับท็อปได้ แต่ทุกอย่างไม่ราบรื่นอย่างที่ฝันครับ โซลันกี้ เล่นไม่ออก ยิงได้แค่ประตูเดียวจากโอกาสลงสนาม 27 นัดในทุกรายการ เขาถูกสื่อวิจารณ์ว่าเป็นแค่กองหน้าธรรมดาที่ชื่อเสียงโด่งดังเกินฝีเท้า ก่อนจะถูกปล่อยตัวไปให้ บอร์นมัธ ในปีต่อมา ด้วยค่าตัวสูงถึง 19 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ชีวิตใหม่ที่ บอร์นมัธ ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม ไม่ว่าจะด้วยค่าตัวที่สูงหรือเป็นเพราะองค์ประกอบรอบด้านไม่เอื้ออำนวย โซลันกี้ ใช้เวลานานเกือบปี กว่าจะกลับมาทำประตูได้อีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในเกม เอฟเอ คัพ และหากนับจริง ๆ เขาใช้เวลาถึง 18 เดือน ถึงจะกลับมาทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งใช้เวลามากถึง 38 นัด นับตั้งแต่ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล หลังจบฤดูกาล 2019-20 บอร์นมัธ ตกชั้นไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ โซลันกี้ คือหนึ่งในคนที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นดีลที่ล้มเหลวสุด ๆ ของทีม ทั้งฤดูกาลเขายิงให้ทีมได้แค่ 3 ประตูจาก 32 นัดในลีก มันคือตัวเลขที่น้อยมากสำหรับคนเป็นกองหน้า โดยสถิติจากออปต้าระบุว่า โซลันกี้ พลาดโอกาสทองในการทำประตูไปมากถึง 6 ครั้งในปีนั้น ซึ่งหากเปลี่ยนมาเป็นประตูได้สักครึ่งนึง ก็อาจช่วยทำแต้มให้ทีมได้อีกเยอะเลย "มันคือช่วงเวลาที่ความมั่นใจของผมไม่มีเหลือเลย" โซลันกี้ เล่า "การเป็นกองหน้าตัวหลักและไม่สามารถทำประตูให้ทีมได้ มันคือฝันร้ายนะ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งกดดัน ทักครั้งที่ทีมแพ้ผมจะยิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก มันหนักหนาแต่ก็สอนผมให้โตขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน" แม้จะตกชั้น แต่ บอร์นมัธ ยังคงไว้วางใจในตัวของ โซลันกี้ เหมือนเดิม ชีวิตใหม่ในลีกรองช่วยให้เขาเริ่มจับจังหวะของฟุตบอลได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น จนทำให้เขาเริ่มสนุกกับฟุตบอลอีกครั้ง ฤดูกาล 2020-21 โซลันกี้ ยิงให้ บอร์นมัธไป 15 ประตู 8 แอสซิสต์จาก 40 นัดในลีก ก่อนจะมาพีคสุด ๆ ในฤดูกาลที่แล้ว ด้วยการซัลโวไป 29 ประตู 7 แอสซิสต์ มีเปอร์เซ็นต์ยิงตรงกรอบสูง 52% พาทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ติดทีมยอดเยี่ยมของลีก ได้รองดาวซัลโวแชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอลได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย เขาให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุใหญ่ที่กลับมาเล่นได้ดีอีกครั้งเกิดจากการฝึกซ้อมที่มากขึ้น เขาใช้เวลาในการฝึกทำประตูเพิ่มขึ้น รวมถึงปรับเปลี่ยนทัศนคติการเล่นให้เป็นทีมมากขึ้น เขาเริ่มมองหาเพื่อนร่วมทีมในการส่งบอลให้มากกว่าจะไปจบสกอร์ด้วยตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนบทบาทจากคนที่ยืนกางมุ้งรอยิง มาเป็นตัวพักบอล เชื่อมเกม ซึ่งยิ่งทำแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาค้นพบว่ามันยิ่งทำให้เขามีช่องว่างในการจบสกอร์มากขึ้นเท่านั้น ความสำคัญของ โซลันกี้ กับ บอร์นมัธ แสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นในตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บช่วงต้นฤดูกาล แล้ว บอร์นมัธ แพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล และทำได้แค่เสมอกับ นอริช ในถ้วยลีกคัพ หนักสุดคือเกมแพ้ ลิเวอร์พูล 0-9 ซึ่งเขาจำเป็นต้องถูกส่งลงสนามมาในครึ่งหลัง ทั้งที่ยังไม่ฟิตสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ เมื่อเขากลับมาฟิตเต็มถัง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ บอร์นมัธ เปลี่ยนตัวกุนซือจาก สกอตต์ ปาร์เกอร์ มาเป็น แกรี่ โอนีล พอดี และการทำงานกับ โอนีล ซึ่งรู้ใจกันพอสมควร เพราะในการคุมทีมซ้อมตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ก็เป็น โอนีล นี่แหละครับที่ใกล้ชิดและสนิมสนมกับ โซลันกี้ มาก ๆ "เขาคือกองหน้าในฝันของโค้ชทุกคนนะ" โอนีล ให้สัมภาษณ์หลังจาก โซลันกี้ ยิง 1 แอสซิสต์ 1 พาทีมชนะ ฟอเรสต์ ซึ่งเป็นเกมที่ แกรี่ โอนีล พาทีมคว้าสามแต้มแรกในการคุมทีม อีกทั้ง โซลันกี้ ยังเป็นนักเตะที่วิ่งเพรสมากที่สุดในสนามอีกต่างหาก "เขาทำงานหนัก แม้บางครั้งอาจไม่มีใครสังเกตเห็น เวลาเราขอให้เขาเพรสซิ่ง เขาจะทุ่มสุดตัว ถ้าบอกให้ครองบอล เขาก็จะทำโดยไม่อิดออด เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง เขาน่าจะเป็นกองหน้าที่ทำงานหนักที่สุดที่ผมเคยเห็นมาคนนึง และเขาเติบโตขึ้นเยอะมากจริง ๆ" โซลันกี้ ยังคงเป็นตัวทีเด็ดในแดนหน้าของทีม เป็นคนสำคัญไม่แพ้ มาร์คัส ทราเวเนียร์ เลยทีเดียว โซลันกี้ ตอนนี้ยิงให้ บอร์นมัธ ไปเกิน 50 ประตูแล้วจากทุกรายการนับตั้งแต่ย้ายมาในปี 2019 เขาเล่นบอลฉลาดมากขึ้น โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทำเพื่อทีมมากขึ้น จนกำลังมีฟอร์มที่ดีมาก ๆ หากใครดู บอร์นมัธ เล่นบ่อย ๆ ในปีนี้ จะเห็นได้เลยว่า โซลันกี้ นี่แหละที่เป็นคนที่ทำให้เกมแดนหน้าของทีมไหลลื่น อีกทั้งยังเป็นตัวอันตรายที่ทำให้กองหลังคู่แข่งเหนื่อยในการตามประกบแบบสุด ๆ จากคนที่ถูกตราหน้าว่าล้มเหลว วันนี้ โซลันกี้ กำลังพิสูจน์คุณค่าในตัวเองอีกครั้ง เขาอาจไม่ได้อยู่ในท็อปชาร์ตดาวซัลโวเหมือนคนอื่น ๆ แต่เขาคือท็อปสตาร์ของ บอร์นมัธ ในเวลานี้ และจะเป็นกุญแจสำคัญที่อาจช่วยให้ทีมอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เลยก็ได้