:::     :::

อย่าให้บานปลายไปกว่านี้

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วงการฟุตบอลไทย คงไม่มีข่าวไหนตูมเท่ากรณี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ออกมาประกาศพร้อมลาออกอีกแล้ว

ภายหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ออกมาระบุว่า นายกสมาคมฟุตบอลฯ ควรลาออก เพื่อรับผิดชอบกับผลงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงเหตุทะเลาะวิวาทของนักฟุตบอลและสตาฟฟ์โค้ช ในทัวร์นาเมนต์ซีเกมส์ ที่กัมพูชา ล่าสุด

แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่แค่ พล.ต.อ.สมยศ ลาออกตามคำสั่ง พล.อ.ประวิตร แล้วก็จบ รอเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลคนใหม่ในอีก 90 วัน

เพราะในแถลงการณ์ของประมุขลูกหนังไทย ระบุว่าจะมีการแจ้งเหตุผลการลาออกต่อสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFF) สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) และสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ที่มีอำนาจดูแลการดำเนินงานของประเทศสมาชิก

นั่นหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้น อาจเป็นการขัดต่อข้อบังคับของ “ฟีฟ่า” ที่ระบุไว้ว่า สมาคมฟุตบอลฯ จะต้องดำเนินกิจการอย่างอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากบุคคลที่สาม หรือกลุ่มอิทธิพลใด ๆ


จริงอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร ออกมาพูดในฐานะ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ แต่สมาคมฟุตบอลฯนั้นขึ้นตรงกับ “ฟีฟ่า” ไม่ใช่คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ผ่านการเลือกตั้งนายกสมาคมตามระเบียบขั้นตอนที่ “ฟีฟ่า” ได้กำหนดไว้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมอย่างถูกต้อง

ฟีฟ่าไม่ได้อยู่ภายใต้ พล.อ.ประวิตร หรือคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ แต่อย่างใด

ฉะนั้นการที่อยู่ดีดี พล.อ.ประวิตร จะมาออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สมยศ ลาออกดื้อ ๆ จะด้วยเรื่องผลงานตกต่ำ หรือพูดประชดประชันใด ๆ ก็ตาม

ซึ่งหากสมมติ พล.ต.อ.สมยศ ทะลึ่งลาออกจริง ๆ (ตอนนี้ยังไม่ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร) ฟีฟ่าจะมองว่าสมาคมฟุตบอลถูก “แทรกแซง” จากการเมือง

สิ่งที่ตามมาคือ “ฟีฟ่า” มีสิทธิสั่งแบน “ทีมชาติไทย” ออกจากการแข่งขันในระดับนานาชาติได้ทั้งหมดทุกรายการที่พวกเขารองรับ

แต่หากทั้งหมดเป็นเพียง “เกมการเมือง” ของทั้งสองฝั่งที่อีกฝ่ายชงอีกฝ่ายตบกลับ ก็ไม่เป็นผลดีกับทีมชาติไทยอยู่ดี

ซึ่งมีโอกาสจะออกอย่างหลังมากกว่า


เหตุผลคือ พล.อ.ประวิตร แค่พูดในที่ประชุมประจำปีของ คณะกรรมการโอลิมปิคฯ แม้จะมีคำพูดเชิงให้ พล.ต.อ.สมยศ “ลาออก” แต่หากมองว่าเป็นการประชดประชัน หรือแค่แซะจิกแกมหยอก ก็มองแบบนั้นได้

เพราะเป็นเพียงแค่ลมปาก ไม่ได้แถลงการณ์เป็นหนังสืออย่างทางการเพื่อออกมา “สั่งให้ลาออก” วันข้างหน้าสื่อมวลชนเอาไมค์ไปจ่อปาก พล.อ.ประวิตร อีกครั้ง เจ้าตัวอาจยิ้มแล้วตอบ “วันนั้นผมแค่แซวเล่น” หรือบอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ก็ได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พล.ต.อ.สมยศ นั้น “เล่นใหญ่” กลับ เพราะว่าหากต้องลาออกจริง ๆ ต้องแจ้งให้ “ฟีฟ่า” รับรู้ตามระเบียบขั้นตอน และเขาเองก็รู้ดีว่าฟีฟ่าจะไม่อยู่เฉยกับการที่ตนเองถูกแทรกแซงเช่นนี้

หากเกิดขึ้นจริง พล.ต.อ.สมยศ ลาออก พล.อ.ประวิตร ลอยตัว แต่ที่ซวยเต็ม ๆ คือ “ทีมชาติไทย” จะกลายเป็นตัวประกัน และมีโอกาสสูงมากที่จะถูกฟีฟ่าแช่แข็ง

แต่นั่นคือการ “คาดเดา” ในกรณีที่ร้ายแรงสุด (ซึ่งมีโอกาสจะเกิดและไม่เกิด เพราะวงการฟุตบอลไทยก็เอาแน่เอานอนไม่ได้)

คงได้แต่หวังว่า สิ่งที่สองฝ่ายบรัฟใส่กัน เป็นแค่การตอบโต้ในเชิงจิตวิทยาของรุ่นใหญ่ ไม่มีอะไรไปเกินเบอร์ไปกว่านั้น เพราะแค่นี้ฟุตบอลไทยก็บอบช้ำเกินพอแล้ว

ส่วนสายแช่งที่ไม่แฮปปี้กับ พล.ต.อ.สมยศ ก็ทำได้แค่กรี๊ดมันออกมา และอดทนรออีก 8 เดือน เดี่ยวก็ได้เลือกตั้งใหม่แล้ว

ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากัน…


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})