:::     :::

'เจ'ก้าวไปอีกขั้น

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ทีมชาติไทยของ มิโลวาน ราเยวัช ได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 46 แต่มีเรื่องน่ายินดี ให้พูดถึงมากมายราวกับได้แชมป์ในบ้านเสียเอง

อันดับฟีฟ่าของทัพช้างศึกเป็นรองทุกทีมโดยเฉพาะคู่ชิงชนะเลิศอย่างสโลวาเกียที่เหนือกว่าถึง 100 อันดับ ทว่าสู้กันในสนามได้อย่างไม่เป็นรอง

เราครองบอลบุกเข้าใส่ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพียงแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างความแม่นยำ และการตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายยังไม่ดีมากนัก ทำให้พลาดโอกาสในหลายครั้ง 

สโลวาเกีย แม่นยำและเด็ดขาดมากกว่าในจังหวะเข้าทำ ทีมจากยุโรปตั้งรับแน่นด้วยการยืนคุมโซนและอาศัยการตัดบอลก่อนโต้กลับเร็วเล่นงานทัพช้างศึก พวกเขาจะโหมรุกเข้าใส่ก็ทำได้ แต่เลือกเล่นแบบไม่ผลีผลาม 

หลายจังหวะเหมือนรูปแบบการซ้อม แต่หากทักษะความสามารถไม่ดีจริงก็ไม่มีทางนำมาใช้ในการแข่งขันจริงได้

ประตูแรกที่เจาะด้านข้าง ลากถึงสุดเส้นหลังก่อนหักเข้ากลางให้เพื่อนกระแทกบอลเข้าง่ายๆ 

เช่นเดียวกับประตูที่ 3 ที่ฝากบอลตามสเต็ปก่อนวิ่งมายิงหน้าเขตโทษ ดูเหมือนง่าย แต่ทุกอย่างมาจากการซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดความเข้าใจในทีม 

นี่คือสิ่งที่นักเตะไทยต้องเรียนรู้ให้มากเพราะสุดท้ายแล้วฟุตบอลก็วัดกันที่จำนวนประตู การครองบอลและหาโอกาสยิงมากมายแต่หากไม่ส่งบอลตุงตาข่ายได้ก็ไร้ประโยชน์ 

นั่นคือประสบการณ์จากการลงสนามพบกับทีมที่เก่งกว่าทั้งทีมเวิร์กและความสามารถเฉพาะตัว สิ่งที่ได้รับคือประโยชน์ในวันข้างหน้า และสำคัญยิ่งกว่าผลการแข่งขันในวันนี้ 

ในภาพรวม ช้างศึกของ ราเยวัช ทำผลงานในทัวร์นาเมนต์นี้ได้น่าพอใจอย่างยิ่งแล้ว 

ราเยวัช พยายามให้ลูกทีมเล่นเกมรุกมากขึ้นแต่พื้นฐานเกมรับที่เป็นจุดเด่นก็ไม่ละทิ้ง เราจึงได้เห็นนักเตะไทยโชว์ศักยภาพตรงนี้ออกมาในการเจอทีมระดับชั้นนำ

เพียงแต่ฟุตบอลของเรายังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและไต่ระดับ ทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่ใช่ฝึกสอนกันวันสองวันจะเก่งขึ้นมาทันที

แต่สิ่งที่เห็นชัดคือ นักเตะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ กล้าคิดกล้าทำและไม่ได้เกรงกลัวคู่แข่ง เพียงแต่การตัดสินใจ รวมถึงความเข้าใจซึ่งกันและกันยังไม่ "คลิก" เสียทีเดียว ต้องเล่นด้วยกันบ่อยๆ เพื่อจูนกันให้ได้

ตั้งแต่ ราเยวัช คุมทีมมา ยังไม่เคยโดนยิงถึง 3 ประตูในนัดเดียวเหมือนเช่นรอบชิงฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ส่วนหนึ่งก็อย่างที่บอกไป สโลวาเกีย ออกหมัดน้อยกว่าแต่หนักแน่นและเข้าเป้า และการพยายามเล่นเกมรุกของเราก็ทำให้หลังบ้านเปิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

จุดเด่นอีกอย่างที่เห็นคือ สปีดบอลของไทย "เร็วขึ้น" กว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้การเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุกใช้เวลาไม่นาน 

ทว่าสิ่งที่ต้องฝึกกันต่อคือ ความแม่นยำ เมื่อคิดเร็วทำเร็ว ความผิดพลาดจึงเกิดได้ง่าย แข้งไทยต้องเขี้ยวตัวเองให้หนักทั้งตอนซ้อมและแข่งจริงเพื่อให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ใช่ออกมาลนลาน 

ขณะที่ผลงานของนักเตะไทยหลายคนก็ทำได้ดีทั้งตามมาตรฐานและดียิ่งขึ้น

พรรษา เหมวิบูลย์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เป็นชื่อที่แฟนบอลต่างยกนิ้วให้กับผลงานในคิงส์ คัพ หนนี้

"เจ้าโย่ง" พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้บุรีรัมย์ และอัพเลเวลขึ้นไปอีกหลังผ่านเกมระดับเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก

การยืนตำแหน่งดีเยี่ยม รับผิดชอบเกมรับได้ดี และเริ่มมีทีเด็ดในการเติมขึ้นมาทำประตู น่าเสียดายที่ลูกยิงเต็มข้อในเกมรอบตัดเชือกกับกาบองชนคานอย่างจัง ไม่อย่างงั้นจะเป็นประตูที่สวยงาม ทว่าก็แก้ตัวได้อยู่ในรอบชิงฯ ที่ซัดลูกที่ 2 ให้ไทยได้ลุ้นช่วงท้าย

ส่วน "นิว" ฐิติพันธ์ ก็แจ้งเกิดในยุค ราเยวัช ตั้งแต่นัดแรกๆ ที่ได้โอกาสแล้ว เหมือนหาตัวเองเจอในนามทีมชาติทั้งที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้าง "จับฉ่าย" จนไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ดีที่สุดของตังเองตรงไหน

กองกลางจากจ่ายบีจีวิ่งพล่านทั้งรุกและรับ พละกำลังล้นเหลือ และช่วยแดนกลางไทยได้อย่างมาก หลายคนเปรียบว่าเป็น สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษของลิเวอร์พูลเลยทีเดียว

คนอื่นๆ อย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, จักรพันธ์ แก้วพรม และ ธีรศิลป์ แดงดา ก็เล่นได้เสมอตัว ไม่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่


คิดจะประกบ "เจ" คิดผิดเสียแล้ว

มีที่ดร็อปลงพอสมควรก็คือ "อุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน ซึ่งน่าจะมีผลมาจากการไม่ค่อยได้โอกาสลงเล่นในเจลีกช่วงแรกมากนัก รวมถึงตำแหน่งการเล่นที่ถูกดันขึ้นไปช่วยเกมรุกเต็มตัวซึ่งแม้จะเล่นได้ แต่ก็สู้ตำแหน่งแบ็กซ้ายที่ถนัดที่สุดไม่ได้ 

แต่ฝีเท้าระดับ "บุญจัง" ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวล รอแค่ได้โอกาสในวิสเซล โกเบ มากขึ้นก็มากลับโชว์เท้าซ้ายปีศาจให้แฟนๆ ได้เห็นอีกครั้งแน่ 

ส่วนคนที่เด่นสุดในทัวร์นาเมนต์คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธุ์ 

"ชนาคุง" คือหนึ่งใน 3 แข้งเจลีกที่บินกลับมาร่ายเพลงแข้งให้แฟนบอลไทยได้เห็น และก็ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

กองกลางจากคอนซาโดเดเล ซัปโปโร คือหัวใจสำคัญในเกมรุกของไทยเช่นเคย แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือโชว์ "คลาส" ให้เห็นว่าก้าวไปอีกขั้นแล้ว

จังหวะการเล่นของ เจ เร็วกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคนจนหลายครั้งกลายเป็นจ่ายบอลเสียนั่นเพราะเพื่อนร่วมทีมคิดตามไม่ทันและไม่ได้เตรียมตัว

การเล่นในเจลีก แถมยังทำประตูสำคัญให้ทีมได้ถึง 2 ประตูช่วยให้ เจ มั่นใจมากกว่าเดิม และติดเล่นสปีดบอลที่เร็วตามตามรูปแบบฟุตบอลญี่ปุ่นมาด้วย

เรื่องความสามารถเฉพาะตัวก็หายห่วง เอาตัวรอดได้ตลอดไม่ว่าจะเจอคู่แข่งไซส์ยักษ์ขนาดไหนตามประกบ แถมยังเล่นงานให้ได้ขายหน้าทั้งเตะลอดขา หรือกระชากหนีดื้อๆ


มาริโอ เลมิน่า ยกย่อง ชนาธิป จิ๋วแต่แจ๋ว

ช็อตที่แข้งสโลวาเกีย "ดึงเสื้อ" ชนาธิป จนแทบขาดในรอบชิงฯ บ่งบอกทุกอย่างครบถ้วนว่า เจ คือนักเตะไทยที่ดวลตัวต่อตัวไม่เป็นรองแข้งยุโรปเลย 

ขนาด มาริโอ เลอมิน่า กองกลางทีมชาติกาบองที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับเซาธ์แฮมป์ตันยังซูฮกโพสต์ผ่านไอจีถึงจอมทัพร่างเล็กของไทยว่า "เล็กแค่ตัว แต่พรสวรรค์ล้นเหลือ มิสเตอร์ @jaychanathip หวังว่าจะได้เจอนายเร็วๆ นี้"

ฝีเท้าของ "เจ" ไม่ใช่แค่คนไทยและญี่ปุ่นรับรู้เท่านั้น แต่แข้งระดับพรีเมียร์ลีกก็ยังยกย่อง และด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปีในตอนนี้

คงไม่เกินเลยนักที่เราจะฝันกันต่อว่า ลีกชั้นนำของยุโรปคือปลายทางที่ไม่ไกลเกินเอื้อมนักสำหรับนักเตะที่ชื่อว่า "ชนาธิป สรงกระสินธุ์" 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})