:::     :::

โรมิโอ ลาเวีย กับการติดหล่มในอีโก้ความสำเร็จของ FSG

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
723
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ไม่มีใครปฏิเสธความดีความชอบของ FSG ในการฉุดดึงสโมสร ลิเวอร์พูล จากเงื้อมมือของสองปลิงมะกันอย่าง ทอม ฮิคส์ กับ จิลเล็ตต์ เมื่อ 13 ปีก่อนได้ก็จริง แต่ความดีก็ไม่ใช่เกราะป้องกันตัวในการโดนตำหนิเมื่อทำผิดได้เสมอไป

อย่างที่เรารู้กันดีว่า โรมิโอ ลาเวีย คือเป้าหมายหลักของ ลิเวอร์พูล ในซัมเมอร์นี้หลังจากต้องเสียกองกลางตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ และกองกลางจอมขยันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไปแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องลงตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อควานหาตัวแทนที่เหมาะสมก่อนฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะเริ่มขึ้น 


ขอไล่เรียงเรื่องราวของ ลาเวีย กับ ลิเวอร์พูล กันสักนิดก่อนจะอ่านบทความนี้นะครับ


เซาธ์แฮมป์ตัน เจ้าของสิทธิ์ในตัวของ ลาเวีย ตั้งราคาไว้ที่อย่างต่ำ 50 ล้านปอนด์ โดยตัวนักเตะมีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งคืออดีตต้นสังกัดอย่าง แมนฯ ซิตี้ สามารถใช้เงื่อนไขขอซื้อตัวกลับได้ตอนปี 2024 หรือจบฤดูกาลนี้ โดยตัวเลขที่ระบุในสัญญาคือ 40-45 ล้านปอนด์ 


อ่านถึงตรงนี้ เราทดราคาขายของ ลาเวีย กับเงื่อนไขซื้อกลับของ ซิตี้ ไว้ในใจก่อนนะครับ


ลิเวอร์พูล สนใจ ลาเวีย จริง และยื่นข้อเสนอแรกไปที่ 37 ล้านปอนด์เพื่อดูเชิง แน่นอนว่านักบุญปัดตกอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก


บิดที่สอง ลิเวอร์พูล ยื่นไป 41 ล้านปอนด์ต่อทันที แน่นอนว่าข้อเสนอนี้ก็โดนตีกลับมาเช่นเดิม พร้อมเสียงยืนยันจากผู้ขายว่าต้อง 50 ล้านปอนด์เท่านั้น


วันที่ 8 สิงหาคม หงส์แดงบิดครั้งที่ 3 โดยเพิ่มเงินไปเป็น 45 ล้านปอนด์บวกแอดออนอีกนิดหน่อย แต่ไม่ถึง 50 ล้านปอนด์ตามที่ทีมนักบุญต้องการ และก็โดนปฏิเสธอีกเช่นเคย


สถานการณ์ตอนนั้นมีแค่ ลิเวอร์พูล ทีมเดียวที่จริงจังกับดีลนี้ แต่ด้วยการเล่นแง่ดึงเช็งของทีมซื้อขายที่มั่นใจว่าก่อนตลาดปิด ไม่ว่ายังไง เซาธ์แฮมป์ตัน ก็น่าจะต้องตอบรับในข้อเสนอที่ยื่นไปให้แน่นอน แม้ว่าบิดสุดท้ายจะไม่ถึง 50 ล้านปอนด์ก็ตาม


แต่แล้วตัวละครลับอย่าง เชลซี ก็โผล่ขึ้นมากลางวงซื้อขายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อคืนนี้ ด้วยการยื่นเงิน 48 ล้านปอนด์ให้ เซาธ์แฮมป์ตัน แม้ว่าจะถูกปัดตกเช่นกัน แต่แนวโน้มของการบิดดิ้งคราวนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่ใช่ฝ่ายได้เปรียบผู้ขายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 


ถามว่า ทำไม เชลซี ถึงยื่นมือเข้ามา?

คำตอบมองได้สองแบบ หนึ่งคือสิงห์บลูส์อาจจะถอดใจกับการตามล่าตัวของ มอยเซส ไกเซโด้ ไปแล้ว เพราะว่าข้อเสนอ 80 ล้านปอนด์ที่ยื่นไปให้ ไบรท์ตัน นั้นถูกปฏิเสธกลับมา โดยนกนางนวลต้องการที่ 100 ล้านปอนด์เท่านั้น นั่นจึงทำให้ โปเช็ตติโน่ อาจมองแล้วว่าหากไม่เสริมทัพก่อนตลาดปิด เชลซี น่าจะมีปัญหาใหญ่ในแดนกลางแน่นอน เพราะซัมเมอร์นี้พวกเขาเสียไปทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มัตเตโอ โควาซิช และ เมสัน เมาท์ ไปแล้ว ลำพังขุมกำลังที่มีอยู่ไม่น่าจะเพียงพอต่อการกรำศึกในฤดูกาลนี้แน่นอน


อีกเหตุผลนึงอาจเป็นแค่จิตวิทยาในการปั่นป่วน ลิเวอร์พูล เล่น ๆ เหมือนในดีลของ ดีแคลน ไรซ์ ที่ อาร์เซน่อล พยายามต่อรองราคากับ เวสต์แฮม มานานหลายสัปดาห์ ไม่ยอมยื่นเงินไปตามที่ขุนค้อนต้องการเสียที แมนฯ ซิตี้ เลยโผล่มาแจมดื้อ ๆ จนสุดท้ายปืนใหญ่ต้องยอมจ่ายเงินค่าตัวเป็นสถิติสโมสรแบบเลี่ยงไม่ได้


แล้วการเข้ามาแจมของ เชลซี จะทำให้ ลิเวอร์พูล เร่งบิดครั้งที่ 4 เลยไหม? นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจครับ




หากไม่บิดต่อ ก็แสดงว่าทีมซื้อขายยืนกรานหนักแน่นว่าค่าตัวของ ลาเวีย ที่พวกเขาประเมินนั้นไม่ได้มีมูลค่า 50 ล้านปอนด์ตามที่ทีมนักบุญตั้งราคาไว้ เป็นการแสดงจุดยืนว่าจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบในตลาดซื้อขาย ยอมเบนเข็มไปหาของดีราคาถูกหรือคนอื่นที่ราคาสมน้ำสมเนื้อในมุมมองของ FSG ดีกว่า


แต่หากบิดครั้งที่ 4 ก็มีมุมมองที่น่าสนใจเช่นกัน


มุมมองแรก ถ้า ลิเวอร์พูล ยังคงดึงเช็งบิดมาที่ราคาไม่ถึง 50 ล้านปอนด์เหมือนเดิม ก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่าปิดตลาดรอบนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้ตัว ลาเวีย มาร่วมทีม เพราะ เซาธ์แฮมป์ตัน เองก็ไม่ได้เดือดร้อนจนอยากขาย ลาเวีย มากขนาดนั้น แม้ว่าตัวนักเตะจะอยากย้ายก็ตาม


เหมือนในเคสของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ นั่นไงครับ ที่ต่อรองยาวนานเป็นมหากาพย์ จนสุดท้ายต้องจ่ายแพงกว่าเดิมแถมได้ตัวช้าถึงหนึ่งรอบตลาดซื้อขายอีกด้วย


อีกอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน น่าจะอยากเก็บ ลาเวีย ไว้ช่วยในการเลื่อนชั้นมากกกว่า ค่าเหนื่อยที่แบกรับตอนนี้ก็ไม่แพง แถมหากปล่อยไว้แบบนี้อาจขายได้ในราคาสูงกว่า 50 ล้านก็ได้ตอนตลาดเดือนมกราคม หรืออย่างน้อยที่สุด ซัมเมอร์หน้าก็ยังมีเงื่อนไขจาก ซิตี้ อีกราว ๆ 40-45 ล้านปอนด์ หากว่าทีมเรือใบอยากได้ มองมุมไหนทีมนักบุญก็ไม่เสียเปรียบเลย 


มุมมองที่สอง หากสุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูล ยอมจ่าย 50 ล้านปอนด์ตามที่นักบุญยืนกราน นั่นก็ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของทีมซื้อขายเข้าไปอีก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าการต่อรองราคาแบบนี้นอกจากจะต้องจ่ายเงินในราคานั้นอยู่แล้ว ยังเสียเวลาไปแบบเปล่า ๆ อีกนับสัปดาห์ แทนที่นักเตะจะได้มาซ้อมเพื่อให้พร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเงินก็ต้องจ่ายเยอะ แถมยังไม่มีเวลาให้นักเตะปรับตัวอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ ลิเวอร์พูล ไม่มีความได้เปรียบในดีลของ ลาเวีย เลยสักนิด คำถามคือในเมื่อต้องการนักเตะในตำแหน่งนี้จริง ๆ ทำไมถึงยังเลือกใช้วิธีการต่อรองแบบเดิม ๆ อยู่อีก


ผมมองว่า FSG กำลังติดหล่มความสำเร็จในอดีตบนตลาดซื้อขายอยู่ครับ


หากเรามองไปในช่วงที่ผ่านมา FSG ใช้การเจรจาต่อรองด้วยวิธีรัดเข็มขัดแบบนี้แล้วได้ผลเสมอ อย่างในดีลของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เอย ในดีลของ หลุยส์ ดิอาซ เอย โอโก้ โชต้า เอย ทุกครั้งสามารถจบดีลได้ในราคาที่ถูกกว่าการประเมินของตลาดทุกครั้ง หรือเอาที่เก่า ๆ หน่อยก็อย่างเช่น โดมินิค โซลันกี้ ที่สุดท้ายขายได้กำไรมหาศาล หรืออีกมากมาย จนได้รับคำชมว่าเป็นทีมซื้อขายที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ 


แต่ในบางกรณีมันก็ใช้ไม่ได้เสมอไป อย่างตอน ฟาน ไดค์ เราก็เห็นแล้วว่าไม่เวิร์ค (หมายถึงการดึงเช็ง ต่อรองราคาแบบนี้) แต่ FSG พยายามจดจำแต่ดีลที่สำเร็จจนไม่มองดีลที่ตัวเองพลาดเป็นอย่างไร สุดท้ายการลงตลาดจึงมีแต่อีโก้และความมั่นใจว่า สุดท้ายฉันจะได้นักเตะคนนี้ในราคาแค่นี้นะ 


มันใช้ได้กับนักเตะบางคน บางสโมสรและบางบริบท แต่เคยพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ไม่ได้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน สุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงเช่นเดิม แต่เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ยิ่งกับตำแหน่งที่ต้องการเสริมทัพเร่งด่วน บางครั้งส่วนต่างไม่ถึง 10 ล้านปอนด์ อาจเป็นเม็ดเงินที่ตอบแทนผลลัพธ์ในสนามอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้


ดีลของ ลาเวีย ในตอนนี้ คือหลักฐานชัดเจนว่า FSG เดินหมากผิด และใช้อีโก้มากเกินไป จนมีโอกาสพลาดตัวนักเตะสูงเลยทีเดียว


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด