ศึกชิงแชมป์สโมสรโลกเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2000 ซึ่งการแข่งขันในครั้งนั้นมี 8 ทีมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ก็มี เรอัล มาดริด, โครินเธียนส์, อัล-นาสเซอร์ และ รายา คาซาบลังก้า ในกลุ่มเอ ส่วน กลุ่มบี มี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, วาสโก ดา กาม่า, เนกาซ่า และ เซาธ์ เมลเบิร์น
ครั้งนั้นสุดท้ายทีมแชมป์เป็น โครินเธียนส์ หลังจากนั้นในปี 2001 การแข่งขันถูกยกเลิกไปเนื่องจากปัญหาเรื่องการเงิน และปี 2002-2004 ไม่มีการจัดการแข่งขัน
ศึกชิงแชมป์สโมสรโลกกลับมาเปิดฉากอีกครั้งในปี 2005 บวกกับปี 2006 ตอนนั้นมีทีมเข้ารอบสุดท้าย 6 ทีมจาก 6 ทวีป แชมป์ยังเป็นของทีมจากบราซิล ปี 2005 เป็นของ เซา เปาโล และปี 2006 เป็น อินเตอร์ นาซิอองนาล
ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาจนกระทั่งการแข่งขันในปีนี้ ทีมที่เล่นในรอบสุดท้ายเพิ่มขึ้นมาเป็น 7 ทีม คือมีทีมเจ้าภาพที่เข้ามาด้วย ไล่เรียงทีมที่เป็นแชมป์ตั้งแต่ปี 2007 เป็นสโมสรจากยุโรปเกือบทุกครั้ง ปี 2007 เอซี มิลาน, 2008 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 2009 บาร์เซโลน่า, 2010 อินเตอร์ มิลาน, 2011 บาร์เซโลน่า อีกครั้ง, 2012 โครินเธียนส์, 2013 บาเยิร์น มิวนิค, 2014 เรอัล มาดริด, 2015 บาร์เซโลน่า, ตั้งแต่ปี 2016-2018 เรอัล มาดริด กวาดไป 3 ปีติด, 2019 ลิเวอร์พูล, 2020 บาเยิร์น มิวนิค, 2021 เชลซี และ 2022 เรอัล มาดริด เมื่อปีที่แล้วและปีนี้ก็คือ "เรือใบ"
แต่การแข่งขันในครั้งหน้า จะจัดขึ้นในปี 2025 จะมีการเพิ่มขึ้นเป็น 32 ทีม เรียกได้ว่าเป็นทัวร์นาเมนต์กันเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงก่อนหน้านี้ทาง ฟีฟ่า แผนจะจัดการแข่งขันศึกสโมสรโลกรูปแบบใหม่มาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งจะเพิ่มทีมเป็น 24 ทีม และมีประเทศจีนเป็นเจ้าภาพในปี 2021 แต่แผนนี้ต้องยกเลิกไปเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทั่งล่าสุดฟีฟ่าตัดสินใจปรับรูปแบบใหม่ และทีมเพิ่มเป็น 32 ทีม ในปี 2025 ที่ สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก
กระบวนการคัดเลือกเจ้าภาพคำนึงถึงความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริการ ตลอดจนวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์สำหรับการแข่งขัน
จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า ระบุว่า “ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 เป็นจุดสุดยอดของฟุตบอลสโมสรชายอาชีพระดับแนวหน้า และด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นพร้อมกับความสนใจในท้องถิ่นจำนวนมาก สหรัฐอเมริกา จึงเป็นเจ้าภาพที่เหมาะสมในการเปิดการแข่งขันระดับโลกครั้งใหม่นี้”
“ด้วยสโมสรชั้นนำของโลกบางสโมสรที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว แฟนๆ จากทุกทวีปจะนำความหลงใหลและพลังของพวกเขามาสู่ สหรัฐอเมริกา ภายในเวลาสองปีสำหรับเป้าหมายสำคัญนี้ในภารกิจของเราในการทำให้ฟุตบอลเป็นสากลอย่างแท้จริง”
การแข่งขันในอีก 2 ปี ข้างหน้าตอนนี้ได้ทีมที่จะเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายมากกว่าครึ่งนึงไปแล้ว เริ่มจากยุโรปจะมีตัวแทน 12 สโมสร ตอนนี้ได้ไปแล้ว 8 ทีมก็คือ เชลซี ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020/21, เรอัล มาดริด ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021/22, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022/23
บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, อินเตอร์ มิลาน, ปอร์โต้ และ เบนฟิก้า ทีมพวกนี้ก็ผ่านเข้ารอบไปเรียบร้อยจากค่าสัมประสิทธิ์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 4 ทีมที่เหลือมี แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นนี้ และอีก 3 ทีมที่มีสัมประสิทธิ์ดีที่สุดซึ่งมีการระบุแล้วว่าจะเป็นสโมสรจาก เยอรมัน, อิตาลี และ สเปน ชาติละ 1 สโมสร
โซนเอเชีย 4 ทีมตอนนี้ได้ อัล-ฮิลาล แชมป์ เอฟเอซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2021 และ อุราวะ เร้ด ไดมอนด์ส แชมป์ เอฟเอซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2022 กับอีกสองทีมก็คือ แชมป์ เอฟเอซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2023/24 และอีกทีมก็คือสโมสรที่มีค่าสัมประสิทธิ์ดีที่สุด
โซนแอฟริกา 4 ทีมเช่นกัน มี อัล-อาห์ลี แชมป์ ซีเอเอฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2021/22 และก็ วีดาด กาซาบลังก้า แชมป์ ซีเอเอฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2022/23 อีกสองทีมคือ แชมป์ ซีเอเอฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2023/24 กับอีกทีมที่มีค่าสัมประสิทธิ์ดีที่สุด
โซนคอนคาเคฟ 4 ทีม มี มอนเตร์เรย์ แชมป์ คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2021. ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส แชมป์ คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2022 และ เลออน แชมป์ คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2023 อีกทีมคือ แชมป์ คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2024
โซนอเมริกาใต้ 6 ทีม ตอนนี้ได้แล้ว 3 ทีมคือ พัลเมรัส แชมป์ โกปา ลีเบร์ตาโดเรส 2021, ฟลาเมงโก้ แชมป์ โกปา ลีเบร์ตาโดเรส 2022 และ ฟลูมิเนนเซ่ แชมป์ โกปา ลีเบร์ตาโดเรส 2023 อีกสามทีมมี แชมป์ โกปา ลีเบร์ตาโดเรส ปี 2024 และก็ทีมที่มีค่าสัมประสิทธิ์ดีที่สุดอันดับที่ 1 และ 2
โซนโอเชียเนีย 1 ทีมได้แล้วคือ โอ๊คแลนด์ ซิตี้ และสุดท้ายคือเจ้าภาพจาก โซนคอนคาเคฟ นั่นเอง
การแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน - 13 กรกฏาคม ก็คือฟุตบอลโลกย่อมๆ เลยเพราะแข่งกลางปีเหมือนกัน และแต่ละทีมที่เข้ามาก็เป็นทีมระดับท็อปของแต่ละทวีป ซึ่งไม่ได้เข้ามาแบบฟลุ๊คแน่ ก็รูปแบบก็คงเป็นการแบ่งกลุ่มแบบเดียวกับฟุตบอลโลกแหละ 32 ทีม 8 กลุ่มเอา 2 ทีมดีที่สุดเข้ารอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้ายไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ก็รอติดตามการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นยังไงต่อไป
