:::     :::

"ร่าง120%ของปีศาจแดง"

วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,788
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มันคือค่ำคืนแห่งความประทับใจของแฟนผี ที่ได้เห็นจิตวิญญาณนักสู้ในเกมนี้ หลังจากโดนนำไปก่อนถึง 0-2 คาบ้าน แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง แมนยูไนเต็ดกลับมาได้ในเกมนี้ แถมเป็นการกลับมาที่สมบูรณ์แบบมากโดยเฉพาะในครึ่งหลัง มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ และเหตุใดมันคือร่าง120%ของปีศาจแดง ทั้งหมดนี้คือคำตอบ

ต้องบอกว่านี่คือเกมที่มันส์สุดๆเกมหนึ่งจริงๆในแง่ของอารมณ์และความรู้สึกในการเชียร์ทีมรัก สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนัด Boxing Day ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเปิดบ้านเอาชนะแอสตันวิลล่าไปได้ 3-2 ด้วยหลากหลายรสชาติที่มาครบในเกมเดียว

การโดนยิงนำก่อนสองลูกรวดคาบ้านในครึ่งแรกจนทำให้แฟนบอลบางส่วนถอดใจปิดทีวีทิ้งกันไปแล้ว, ทั้งฟอร์มการเล่นอันเยี่ยมยอดที่เรียกลูกฮึดแบบสุดๆขึ้นมาในครึ่งหลัง, การระเบิดฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซของ Star boy อย่าง อเลฮันโดร การ์นาโช่ ที่โจมตีเล่นงานใส่คู่แข่งตลอดทั้งเกม จนเบิ้ลสองประตูสำคัญทำให้ทีมได้ขวัญกำลังใจอย่างเต็มที่

ก่อนจะส่งไม้ต่อให้เพื่อนปิดฉากแบบพีคๆด้วยซีนที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยประตูชัยของทีมซึ่งเป็นประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่เรารอคอยเอาใจช่วยน้องมาตลอดทั้งครึ่งซีซั่น ทำได้สำเร็จ และระเบิดความรู้สึกออกมาให้ทุกคนได้เห็น

บนความผิดพลาดก็มีความหวัง บนความสิ้นหวังก็ยังมีแสงสว่างอันร้อนแรง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมๆนี้

ประเด็นใหญ่ๆที่น่าสนใจในเกมนี้ มีอยู่ห้าเรื่องที่สำคัญในเบื้องต้นดังนี้

1. แทคติกของแอสตัน วิลล่า ที่ดันเกมและเปิดพื้นที่ มันเข้าทางในการดึงจุดเด่นเกมรุกของแมนยูออกมาใช้งานได้เต็มที่

2. ระบบการเล่นที่จัดทีมใน Formation และไลน์อัพที่เหมาะสม ทำให้การเล่นไหลลื่น โดยเฉพาะกลางที่ช่วยเซ็ตเกมโต้กลับ

3. "ทีมเวิร์ค" ที่เพิ่มเติมขึ้นจากครึ่งแรก และคุณภาพการเล่นเกมรุกที่แก้ไขให้แม่นยำเฉียบคมในครึ่งหลัง 

4. พลังงานการเล่นที่ทุ่มเทไม่หยุดตลอด 90 นาที ผนวกกับโครงสร้างเกมเพรสซิ่งที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพ 

5. ทีมสปิริตที่ยังเหนียวแน่น และจิตวิญญาณในการไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บุกจนกว่าจะชนะในแบบ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" แท้ๆด้วยใจเกินร้อย

1. "ท้าทายมัจจุราช"

ปัจจัยสำคัญสุดที่เอื้อให้แมนยูชนะในวันนี้ได้ คือแทคติกของอูไน เอเมรี่ ที่เลือกดันเกมสูงเปิดพื้นที่ จนทำให้แมนยูสร้างโอกาสได้เรื่อยๆ

วันนี้อูไนเลือกเล่น "Mid block" ดันเกมขึ้นมาป้องกันกลางสนาม + ดัน Defensive Line ขึ้นมาสูงเพื่อเหตุผลหลักๆ3อย่าง

1.1 เล่นกับดักล้ำหน้าใส่ตัวรุกของแมนยูไนเต็ดตลอดทั้งเกมอย่างที่เห็น เพื่อปิดผนึกเกมรุกแมนยู และได้ผลในหลายๆครั้ง

1.2 ขยับพื้นที่เกมรับของพวกเขาให้ออกห่างจากปากประตูของมาร์ติเนซ ไม่เปิดโอกาสให้แมนยูไปบุกกดทำเกมในพื้นที่นั้นง่ายๆ

1.3 ดึงให้แนวกองหลังของแมนยูต้องดันสูงขึ้นมาเล่นกลางสนามในพื้นที่ที่พวกเขาถนัดกว่า เพื่อจะบุกเจาะด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และความสามารถเฉพาะตัวใส่ยูไนเต็ด

ด้วยวิธีคิดแล้ว เราจะบอกว่าอูไนเองก็ไม่ได้ผิดอะไร หลายๆครั้งมันก็ได้ผล โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาเลือก มันมีแผลตรงที่กลายเป็นการ เปิดโอกาสให้แมนยูได้ใช้ "จุดแข็งที่ดีที่สุดของเกมรุก" ในการโจมตีรุกด้วยการชิงจังหวะกับไลน์กองหลัง ซึ่งเราทำได้ดี และประสบผลสำเร็จในที่สุด

จริงอยู่ว่าพวกเขาขึ้นนำก่อน 0-2 แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับแทคติกนี้โดยตรง มันมาจากลูกเซ็ตพีซที่อันตราย และแมนยูต้านไม่อยู่วิลล่าบุกมานำก่อนด้วยสกอร์ 0-2 คาบ้านในครึ่งแรก แถมแมนยูก็ยังทำเกมไม่อันตรายเท่าไหร่

ดูเผินๆเหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้วแทคติกที่อูไนเลือกมาเล่นกับแมนยูไนเต็ด เหมือนเป็นการเปิดหน้ามาท้าทายมัจจุราชโดยตรง เพราะจริงๆแล้ววิลล่าค่อนข้างอันตรายมากๆที่จะมาเล่นแผนเปิดพื้นที่เยอะๆแบบนี้ กับทีมที่ตัวรุกสปีดจัด และโจมตีแผนนี้ได้ดีที่สุดทีมหนึ่งของลีก (แม้จะอยู่ในยามฟอร์มตกก็ตาม แนวรุกแมนยูยังแข็งแกร่งในเกม counter และ transition play เหมือนเดิม)

เอาจริงๆถ้ามันยังใช้ได้ผล จะพูดว่าผิดพลาดก็ไม่ได้เต็มปาก แต่ส่วนตัวผู้เขียนตั้งแต่ดูเกมในวันนี้ช่วงครึ่งแรก ถึงจะเป็นตอนที่โดนนำอยู่ 0-2 ก็คิดอยู่ดีว่า อูไน ไม่ควรเอาแทคติกนี้มาเล่นใส่แมนยู เพราะการดันสูงเปิดพื้นที่ขึ้นมา ทำให้แนวรุกแดนหน้าของแมนยู มีโอกาสที่จะลองวิ่งทำลาย Defensive Line ตลอดเวลา

ยิ่งคุณใช้ไม่หยุด = แมนยูมีโอกาสได้ลองเสี่ยงวิ่งทำลายไลน์กองหลังได้เรื่อยๆ ซึ่งมันต้องมีสักครั้งสองครั้งแน่นอนที่พวกเขาเช็คพลาด และเราหลุดไปยิงได้โดยไม่ล้ำ ซึ่งก็มีสัญญาณเตือนมาจากลูกที่โดนริบประตูเพราะล้ำหน้านั่นเอง

วิธีการนี้ก็ถือว่าใช้ได้ดี ถ้าทำได้สำเร็จ คู่แข่งโดนจับล้ำหน้าก็จะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าสมมติว่า เช็คล้ำหน้าคู่แข่งสำเร็จไป 10 ครั้ง แต่ครั้งที่ 11 มันไม่ล้ำขึ้นมาล่ะ?

ถ้าคู่แข่งหลุดขึ้นไปยิงได้สำเร็จจากจังหวะนั้นแค่จังหวะเดียวแล้วดันเป็นประตู นั่นแหละถึงได้บอกว่ามันอันตรายที่เล่นกับแมนยูแบบนี้

พอครึ่งแรก ยูไนเต็ดทำอะไรไม่ได้ และวิลล่านำอยู่ 0-2 มันจึงเหมือนเป็นภาพลวงตาอยู่เล็กน้อยที่ทำให้อูไน เอเมรี่ ยังพึงพอใจกับเกมแพลนในวันนี้อยู่ และจะลงมาเล่นด้วยแทคติกเดิม

ทั้งที่จริงๆครึ่งแรก แมนยูไม่ได้ถึงกับแย่มาก และมีโอกาสที่จะวิ่งหลุดขึ้นมาทำลายแนวรับวิลล่าหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขยันในภาค off the ball ของมาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เป็นมือโปรในด้านการวิ่งชิงจังหวะคู่แข่งได้เก่งที่สุดในทีม ยิ่งเขาขยันทำทางตลอดเวลา เพื่อนก็มีทางจ่ายได้ตลอด จนกระทั่งแรชฟอร์ดได้หลุดขึ้นมาโจมตีหลายต่อหลายครั้ง

ท้าทายมากๆ สองมัจจุราชเลยจัดให้ในครึ่งหลัง ยามที่กดอัลติสำเร็จ สวนกลับมาคมๆโป้งสองโป้ง เรียบร้อยเลย ทั้งที่จริงๆแล้ว ถ้าอูไน เอเมรี่ เห็นรูปเกมในครึ่งแรกแล้วฉุกคิดซะหน่อยว่า ไม่ควรเปิดพื้นที่แมนยูขนาดนั้น แล้วครึ่งหลังถอยต่ำลงไปแพ็คเกม ปิดพื้นที่ เล่น Low block บ้างสักเล็กน้อย เชื่อว่าแมนยูจะทำอะไรไม่ได้ และคงจะแพ้ด้วยสกอร์ 0-2 ไปแล้ว

2. การใช้ระบบการเล่นที่เพิ่มเติมความแน่นอนลงมาในไลน์อัพตัวจริงในแผงแดนกลาง รวมถึง formation ที่เหมาะสมและสอดรับกันดีกับองค์ประกอบการเล่นอื่นๆในเกม และเซอไพรส์ในตำแหน่งปีกขวาที่การ์นาโช่ทำได้เกินความคาดหมาย

จุดเริ่มต้นในวันนี้เกิดมาจากแผนการเล่นที่ เอริค เทน ฮาก ต้องการภาคการคุมเกมที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ให้สามารถตั้งเกมครองบอล และเปิดเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพจากแกนกลางของทีมได้มากขึ้น รวมถึงเหตุผลการที่จำเป็นต้อง Rotation นักเตะซึ่งต้องเตะ 3 นัดภายในเวลาไม่กี่วัน 

เกมนี้ EtH ส่ง ค็อบบี้ ไมนู ลงคู่กับ คริสเตียน เอริคเซ่น คู่ Double Pivot ที่ดูไม่น่าเชื่อว่าจะจัดคู่กันได้ ด้วยเหตุผลว่า เอริคใช้สองคนนี้ใน role การเล่นเดียวกันเป๊ะๆ คือเป็นตัวตั้งเกมแบบ 6 กึ่ง 8 เล่นเป็นตัว Orchestrator ให้กับทีม เพราะงั้นแล้วหน้าที่มันทับกัน จึงนึกภาพได้ยากว่าจะจับมาเล่นคู่กันยังไง

ที่สำคัญ สองตัวนี้พื้นฐานเป็นมิดฟิลด์เชิงรุกทั้งคู่ เอามาจับคู่กันก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเกมรับ หากว่าโดนเจาะตรงกลาง มีโอกาสหลุดได้ เอริคเซ่นเองไม่เหลือพลังงานแล้ว ขณะที่ไมนูเองจะให้วิ่งพล่านคนเดียวก็เกินกำลังไป

แต่ปรากฏว่า จุดอ่อนในเรื่องเกมรับ ของคู่ Mainoo+Eriksen ในวันนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่เผยจุดอ่อนออกมา เป็นเพราะว่าทีมช่วยกันเล่นเกมรับทั้ง 11 คน โดยเฉพาะการเริ่มต้น "ตัดเกมวิลล่า" ก่อนที่พวกเขาจะได้บุกมาเจาะใส่ทีม ด้วยการเล่น "เพรสซิ่ง" แดนบน เต็มรูปแบบใส่แอสตัน วิลล่า จนทำให้พวกเขาขึ้นเกมกันยากมาก และบีบให้ออกไปริมเส้นอย่างเดียว

ซึ่งเมื่อเกมไปขึ้นที่ตัวริมเส้นอย่าง ลีออน เบลีย์แล้ว EtH ก็วางหมากป้องกันเอาไว้อย่างดีและเห็นชัดด้วยการ ดรอปแรชฟอร์ดลงมาต่ำให้ช่วยซ้อนดาโลต์ เพื่อเล่นดับเบิ้ลทีมใส่ เบลีย์ ทันที เนื่องจากเจ้าตัวเป็นปีกที่พริ้วมากและอันตราย, ขณะที่แบ็คขวาอย่างคอนซ่า แรชฟอร์ดอาจจะทิ้งระยะไว้เยอะหน่อยก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เติมเกมหนักเท่า RB หลักอย่าง Matty Cash

กลายเป็นว่า จุดอ่อนเรื่องเกมรับตรงกลาง ไม่ถูกเปิดแผลออกมา เพราะแมนยูปิดเกมดังกล่าวเอาไว้ด้วยเกมเพรสซิ่ง และ counter-press เอาไว้ก่อนแล้ว ทำให้เราได้ใช้งาน Mainoo Eriksen ในภาคของการครองบอลให้แน่นอนใน Phase I เพียงอย่างเดียวเน้นๆ ซึ่งค็อบบี้ ไมนู ฟอร์มและคลาสบอลโตกว่าอายุมาก ขณะที่เอริคเซ่น ก็บอลฉลาดที่สามารถสร้างสรรค์เกมที่เนียนตาในพื้นที่กลางสนามได้

ดูภาพข้างล่างนี้จะเห็นเลยว่า double pivot คู่นี้ทำให้กลางมีตัวเลือกจ่ายบอลเยอะมาก ฐานการเล่นของทีมก็แน่น สองคนนี้เอาตัวรอดเก่งอยู่แล้วด้วย เกมโต้กลับหลายๆจังหวะจึงไหลลื่น และในภาพนี้สุดท้ายบอลก็ขึ้นไปถึงบรูโน่ข้างบนอย่างรวดเร็ว

การมีฐานกลางแน่นๆจำเป็นมากสำหรับบอลไดเร็คต์ที่เน้น transition play แบบนี้

เมื่อผนึกกำลังกัน ทำให้เกมของแมนยูลื่นไหล และเซ็ตบอลกันได้ดีกว่าเดิม ที่สำคัญ พื้นที่ตรงกลางสนามแน่นมาก เพื่อนมีทางเลือกในการฝากบอลให้บอล และ shape ของทีมค่อนข้าง compact เกาะกันเป็นทรงที่ดีจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการ build-up / แกะเพรส และการต่อบอลให้แน่นอนเพื่อส่งบอลต่อไปยังตัวออกเกมรุกอย่าง "บรูโน่ เฟอร์นันด์ส" ที่ประจำการในตำแหน่ง AM เบอร์ 10 ตัวบนเดี่ยวๆ และคอยเป็นศูนย์บัญชาการเกมรุกให้ปีกในแดนหน้าอย่างแรชฟอร์ด กับ การ์นาโช่ กดไนตรัสพุ่งขึ้นหน้าไปเอาบอลด้วยท็อปสปีดอย่างเดียวเน้นๆ แล้วก็ได้บอลโต้มาตลอดจริงๆจากความแม่นยำของบรูโน่ และการวิ่งที่ดีของแรชฟอร์ด การ์นาโช่ เป็นหลัก

แผงคู่กลางสามคนนี้ทำให้เกมโดยรวมของทีมมีการทำเกมรุกโต้กลับเร็วที่แน่นอนมากขึ้น โดยมีฐานคู่กันคอยซัพพอร์ตบอลให้บรูโน่เอาบอลไปทำเกมรุกล้วนๆ 

ขณะที่ความลงตัวในเรื่องแผนและ formation วันนี้ ต้องบอกว่า โชคดีและเซอไพรส์ที่การ์นาโช่ มาเล่นปีกขวาได้อย่างน่าดูชม ทั้งๆที่ปกติน้องเล่นได้แค่ฝั่งซ้าย และไม่ถนัดโยกมาขวา ต้องให้แรชฟอร์ด บรูโน่ มาเล่นแทนเวลาอันโทนี่ไม่อยู่

แต่วันนี้ การ์นาโช่บุกได้โหดมากๆ โจมตีทางขวาได้เรื่อยๆเพราะความทุ่มเทมุ่งมั่น ที่สร้าง work rate ในระดับสูงขึ้นมาวิ่งเข้าใส่แนวรับวิลล่าตลอดเวลา ทั้งหาตำแหน่ง ทั้งได้บอลเลี้ยงจี้

ดังนั้น ทั้งแผงกลางที่ลงตัว / ระบบที่แมตช์และเอื้อกับการใช้ปีกวิ่งสวนกลับ ทำให้หลายๆอย่างมันลงล็อคกันในนัดนี้ โดยเฉพาะในครึ่งหลังจะเห็นชัดมาก มาเต็มทั้งคุณภาพ ทั้งความแม่นยำ ทั้งพลังใจ

3. คุณภาพการเล่นที่ดูดีขึ้นในครึ่งหลัง ข้อนี้ชัดเจนมากว่าเกิดอะไรขึ้น จากครึ่งแรกจะเห็นว่า การเล่นชิงจังหวะและเจาะพื้นที่วิลล่านั้น ยังดูเหมือนว่าพึ่งพาแค่การวิ่งของใครคนใดคนหนึ่งมากกว่า ซึ่งภาระทั้งหมดตกไปอยู่ที่แรชฟอร์ด ต้องพยายามสร้างจังหวะให้เพื่อนตลอดเวลา วิ่งตีรถเปล่าบ้าง เพื่อนไม่ยอมแทงมาให้บ้าง พอมันไม่ลงล็อคกัน เกมรุกที่จะขึ้นไปยัง Final Third และต่อด้วยจังหวะที่เป็น shot-ending sequence ที่ได้จบด้วยการยิง จึงไม่เกิดขึ้น

ครึ่งหลังจุดที่เปลี่ยนลงมาคือ การวิ่งทำลายไลน์ และการเล่นเกมรุกในจังหวะสุดท้าย ไม่ได้เกิดจากนักเตะคนใดคนหนึ่งที่เข้าทำด้วยตัวเอง แต่เป็นการเล่นที่ใช้ทีมเวิร์คร่วมกันเป็นมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อแรชฟอร์ดได้บอล เพื่อนตัวอื่นๆจะวิ่งด้วยกันทั้งหมด แล้วพอเขาได้บอล จึงทำให้มีทางเลือกตัวจ่ายบอลที่เยอะมาก สามารถป้ายบอลต่อได้ทั้งการ์นาโช่ และ ฮอยลุนด์ที่วิ่งเลย

จากที่ครึ่งแรก พอตัวเล่นแดนบนได้บอลหลุดมาแล้ว มักจะหาทางจ่ายต่อให้เพื่อนไม่ได้ ลงท้ายด้วยการยิงเองในจังหวะที่ยังไม่อันตรายพอ เพราะไม่สามารถหาเพื่อนที่ตำแหน่งดีกว่าได้

ในครึ่งหลังมีการลดปริมาณบางอย่างที่เกินความจำเป็นลงไป ด้วยการปรับ บรูโน่ถอนลงไปเป็นตัวออกบอลอย่างเดียว (ไม่ต้องทะลุขึ้นมาเองเหมือนครึ่งแรกและล้ำหน้าแล้ว) คอยเป็นตัวซัพพอร์ตบอล ให้แดนหน้าสามคนวิ่งอย่างเดียวเน้นๆ fix ตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ให้เป็นตัวปั้นด้านหลังกองหน้าสามคนเป็นสำคัญ

ต่อมา เมื่อมีโอกาสจ่ายบอลทะลุเกิดขึ้น จากช็อตในภาพนี้ที่บรูโน่เพรสซิ่งและชิงบอลในแดนบนมาได้ และแทงต่อให้แรชฟอร์ดหลุดขึ้นมาตามภาพ

เมื่อแรชฟอร์ดได้บอล สิ่งที่ดีคือเขาสามารถเล่นช็อตต่อไปได้ด้วยการที่สามารถจ่ายบอลไปให้คนรับที่วิ่งทำทางช่วยเอาไว้ อันนี้คือสิ่งที่เยี่ยมที่สุด ทำให้ตัวรุกที่ได้บอลอย่างเขาไม่ต้องลำบากพยายามเลี้ยงบอลหาช่องไปเล่นเอง ยิงเองหมดเหมือนครึ่งแรก เพราะไม่รู้จะจ่ายบอลต่อให้ใคร

ครึ่งหลังตัวรุกด้านหน้าสุดมีทางเลือกในการสร้าง ball connection ได้หลายๆครั้ง ทำให้ถึงเวลาได้บอลในพื้นที่สุดท้าย จะสามารถมองเห็นเพื่อนเล่นต่อได้ทันที ซึ่งนั่นคือการจ่ายบอลต่อให้การ์นาโช่ยิงได้ถึงสองครั้ง (เสียดายล้ำหน้าไปในครั้งแรก)

และนั่นคือสิ่งที่แฟนผีรอคอยมาตลอด .. ใช่ครับ มันคือ "ทีมเวิร์คเกมรุก" นั่นเอง

สิ่งที่เราหาได้ยากในช่วงระยะหลัง เพราะความไม่ลงล็อคกันของทีม แต่เกมนี้ พอเพื่อนขยับ ก็ขยับพร้อมกัน และสร้างทางจ่ายเพิ่มให้ทันที นั่นทำให้แรชฟอร์ดมีเป้าจะจ่าย ขณะที่ การ์นาโช่ ได้บอลไปแล้วก็เฉียบคม ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง หลุดไปยิงเป็นประตูทุกครั้ง อันนี้สำคัญมากไม่แพ้กัน เพราะหลุดไปแต่ถ้างึกๆงักๆ แล้วจบสกอร์พลาด ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

ทีมเวิร์คครึ่งหลังนี่คือเห็นชัดจริงๆ บวกกับความแม่นยำในการให้บอลที่เริ่มเข้าเป้า และพลาดน้อยลงกว่าครึ่งแรก สุดท้ายแมนยูจึงเจาะไล่ตามวิลล่าได้สำเร็จ

4. พลังงานที่วิ่งไม่หยุดตลอดทั้งเกมของนักเตะแมนยูไนเต็ด เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แอสตันวิลล่า เล่นได้ลำบาก และไม่สามารถโจมตีแมนยูได้อย่างจะแจ้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เกมเพรสซิ่งของแมนยูไนเต็ดดุเดือดมาก เพราะเพรสกันด้วยทรงที่เหนียวแน่น และเพรสร่วมกันทั้งทีม ไม่มีการปล่อยวิ่งเพรสแค่ 3-4 คนแบบขอไปที แต่เป็นการเพรสโถมเข้ามาปิดพื้นที่การเล่นของคู่แข่ง / ปิดการออกบอล บล็อคทางจ่ายไปถึงตัวรับ (receiver) ครบทั้งพื้นที่

บีบพื้นที่เล่นคู่แข่งให้เหลือแคบที่สุดจนเล่นได้ยากอย่างที่เห็นในรูป ด้วย Pressing Structure ที่เหนียวแน่นและเข้มข้นมากๆที่ปิดล้อมพื้นที่คู่แข่งจนทำให้พวกเขาไม่เหลือทาง อาจต้องออกบอลยาวมาและเสียบอล หรือโดนบีบจนเสีย High Turnover ที่แมนยูเอาบอลกลับมาครองได้สำเร็จจากแดนบน

เกมเพรสซิ่งของแมนยูเข้มข้นมากในเกมนี้

สังเกตได้เลยว่า คุณจะเห็นนักเตะของเรา "ทั้งทีม" วิ่งกันหมดในเกมนี้ แม้กระทั่งเอริคเซ่นที่ว่าพลังงานน้อยๆ สปีดต้นช้า แต่แกก็พยายามวิ่งไล่บอลให้ทีมอย่างเต็มที่

ไม่ต้องพูดถึงฮอยลุนด์ บรูโน่ การ์นาโช่ ดาโลต์ พวกนี้ใส่สุดอยู่แล้ว บรูโน่วิ่งเกมเดียว 8 ปอด วิ่งไม่หยุด ไล่บอลไม่ให้วิลล่าเล่นง่าย แถมเกมรุกก็ปั้นเกมเร็วไม่หยุดหย่อน

ขณะที่แรชฟอร์ดซึ่ง work rate น้อยในภาคของการเล่นเกมเพรสซิ่ง ก็ขยันวิ่งช่วยทีมเยอะมาก การถอยลงไปช่วยดับเบิ้ลทีมใส่เบลีย์ก็ดี การไล่เพรสซิ่งในแดนบน รวมถึงการเพรสสวน (counter-press) ในจังหวะที่เราเสียบอล, แนวต่ำของวิลล่าครองบอลอยู่ ก็ช่วยให้ทีมเพรสได้ต่อเนื่องมากๆ แม้กระทั่งกองหลังอย่างวาราน อีแวนส์ ก็บีบติดตัวกองหน้าวิลล่าตลอด

ต้องบอกว่า ยูไนเต็ดไม่สามารถจะเล่นเกมเพรสซิ่งเต็มรูปแบบเช่นนี้ได้ทุกนัด แฟนๆต้องเข้าใจด้วย เพราะว่าเราต้องถนอมร่างกายไว้สู้ศึกระยะยาวในเกมต่อๆไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมเราเล่นเพรสซิ่งเต็มรูปแบบเช่นนี้ มักจะทำผลงานดีเสมอ กับที่ไล่อัดเชลซีก็เพรสแบบฟูลออฟชั่นอย่างนี้เหมือนกัน

5. การเล่นด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเททั้งทีม เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากเรื่องความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจที่แม้โดนนำสองลูกก็ยังใจสู้ไม่ยอมถอย ลุยไม่หยุดตั้งแต่โดนนำ ยันไล่ตามจนเอาชนะได้

นี่คือสาเหตุสำคัญของชัยชนะที่ไม่ด้อยไปกว่าเรื่องแทคติกเลย ถ้าประเด็นแทคติกที่วิลล่าใช้มันเข้าทางเรา คือเหตุผลแบบ organic 100% ในวันนี้ เรื่องของจิตใจนักสู้ที่เกิน 100 ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราทำได้สำเร็จ ทั้งในเรื่องของ Passion, Winning Mentality รวมถึง Team Spirit อย่างที่เห็น

"สปิริต120%" สร้างสภาวะอันแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นกับทีมเราในวันนี้

เพราะถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง ห่อเหี่ยว ไม่มีความคิดจะสู้หรือเอาชนะ หรือเล่นโดยการขาดแรงกระตุ้น ไม่มีเป้าหมายแล้วละก็ เกมอาจจะจบตั้งแต่ตอนโดน 0-2 แล้วไม่สามารถทวงประตูคืนได้แล้ว

ยูไนเต็ดถึงแม้จะโดนไปแบบนั้น แต่ก็ยังพยายามจะบุกคืนตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก ถึงจะยังไม่สำเร็จแต่เห็นทรงการเล่นที่พยายามจะบุกเจาะใส่วิลล่าด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

ลงมาครึ่งหลัง ปรับระบบระเบียบการเข้าทำให้ใช้ทีมเวิร์คมากกว่าเดิม / เล่นกันให้เฉียบคมขึ้น / สร้างทางจ่ายบอลให้เพื่อน โอกาสมันก็ค่อยๆเพิ่มและจะแจ้งมากขึ้นกว่าเดิม ลูกที่ล้ำหน้าคือสัญญาณเตือนที่วิลล่าไม่สนใจฟัง สุดท้ายจึงโดนแมนยูตีตื้นได้สำเร็จ และหลังจากนั้นคือโมเมนตัมวันเวย์ที่แมนยูไล่กดตลอดช่วงท้าย จนยิงแซง 3-2 ได้สำเร็จอย่างที่เห็น เดจาวูวันที่แมนยูเคยชนะวิลล่า 3-2 เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในวันที่อีแวนส์อยู่ในสนามเช่นกัน วันที่คริสเตียโน่ยิงสองประตูเหมือนกัน และปิดท้ายด้วยมาเคด้าที่ปิดฉากในเกมนั้น

วันนี้อีแวนส์ก็อยู่ในสนาม / ทายามโรนัลโด้ก็ยิงสองประตู และปิดท้ายด้วยอนาคตคนใหม่อย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์

ถ้าจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ ทีมจะไม่สามารถไล่ตามจนเอาได้สำเร็จแบบนี้ เรื่องความใจสู้ และสปิริตที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆที่เป็นจิตวิญญาณของ Manchester United แท้ๆ คือสิ่งที่เราได้เห็นในช่วงครึ่งหลัง จากนักเตะทั้งทีมที่สู้กันจนพลังงานเฮือกสุดท้าย โดยเฉพาะนักเตะบางคนที่แรงขับมันทะลักล้นออกมาจนเห็นได้ชัดอย่าง การ์นาโช่ ที่ทะลวงให้คู่แข่งทะลุอย่างไม่หยุดยั้งนี่แหละ คืออาวุธที่กัดไม่ปล่อยแบบสุดๆ และเอาจนสำเร็จนั่นเอง

ดีใจที่เด็กๆแสดงสปิริตให้เห็น และบ่งบอกให้รู้ว่า ห้องแต่งตัวของ เอริค เทน ฮาก ยังคงแข็งแรงอยู่อย่างมาก เห็นได้ชัดจากภาษากายนักเตะในทีมเลย ขณะที่ทุกๆคนสำคัญหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือสำรองในวันนี้ ตัวเล่นที่ลงมาในช่วงท้ายก็ช่วยรักษาโมเมนตัมให้ทีมได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นการสวิตช์มาเล่นหลังสาม ด้วยการใช้วิลลี่ คัมวาล่า ลงมายืนร่วมกับวารานอีแวนส์ 

ส่งแม็คโทมิเนย์ลงมาทดแทนพลังงานในแดนกลางต่ำ และถอยลงไปเป็นกึ่งๆ CB ตัวที่ 4 ในทรงที่แทบจะเป็น 6-2-2 ในจังหวะเกมรับช่วงท้ายเกม / อันโทนี่ที่ลงมาช่วงครึ่งหลัง แม้บทบาทจะน้อยแต่ก็วิ่งไล่บอลเต็มที่เหมือนเดิม

ฮันนิบาล ที่ลงมาโชว์ความห้าว ความเก๋าที่ไม่กลัวใคร และเจ้า แดน กอร์ ที่พยายามลงมาวิ่งไล่บอลเพื่อทีม นักเตะทุกๆคนในวันนี้สำคัญหมด แม้กระทั่งคนที่อยู่บนม้านั่งสำรองและไม่ได้ลงเล่นก็ตาม พวกเขาทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของทีมและชัยชนะในคืนนี้ทั้งสิ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น

นี่คือกล่องของขวัญจากจอมมาร ที่มอบให้เรามีความสุขและสะใจกันในวันคริสต์มาสเช่นนี้ ขอบคุณแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่พยายามสู้เพื่อแฟนบอลอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ขอแค่สู้ให้สุดชีวิตเหมือนวันนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงเราก็รับได้ทั้งนั้น

หลังเกมนี้ Kobbie Mainoo โพสต์แคปชั่นว่า "We'll never die" อันเป็นสโลแกนการไม่ยอมตายง่ายๆของสโมสรเอาไว้ นั่นคือจิตวิญญาณที่แท้จริงของปีศาจแดงที่เรารู้จัก

นัดนี้จะเป็นเกม Boxing Day ที่จะอยู่ในความทรงจำของแฟนผีไปอีกนานแสนนาน

และชัยชนะในเกมคืนนี้ มันคือ "ร่าง120%" ของปีศาจแดงอย่างแท้จริง

#WeWillNeverDie

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด