ซีรี่ส์วิเคราะห์ภาพรวมของ 'บิ๊ก 6' โดย 'เมล ออนไลน์' ปิดท้ายที่ 'สิงห์บลูส์' ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐนาวามาเป็น แลมพาร์ด ตำนานกองกลางสโมสร ด้วยเป้าหมายเปลี่ยนปรัชญาองค์กรเน้นปลุกปั้นคนหนุ่ม เพื่อให้สอดรับการโดนแขวนห้ามขึ้นทะเบียนนักเตะใหม่ 2 ตลาดซื้อ-ขาย จาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) 

ทั้งนี้ เชลซี ถือว่านกรู้ขยับตัวไปตั้งแต่ตลาด ม.ค.2019 ตกลงซื้อ คริสเตียน พูลิซิช มาจาก ดอร์ทมุนด์ ฐานะตัวแทน เอแด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งที่ย้ายไป เรอัล มาดริด 

อีกความเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือผลักดันเด็กปั้นที่เคยปล่อยยืมตัวกลับมารับใช้ต้นสังกัดเกือบหมด ไม่ว่ากองกลาง เมสัน เมาน์ต หรือเพชฌฆาต แทมมี่ อับราฮัม ยังรวมถึงกองหน้าสุดทื่อ มิชี่ บาตชูอายี่ ก็ยังได้พิสูจน์ตัวเอง 

เมาน์ต (ซ้าย) กองกลางที่ แลมพาร์ด จะปั้น

พูลิซิช น่าจะแทน อาซาร์ ได้ดี

ผลงานปรี-ซีซั่นของ แลมพาร์ด ถือว่าน่าพอใจระดับหนึ่ง ชนะ 4 จาก 7 นัด (เสมอ 2, แพ้ 1) อย่างไรก็ตามเกมรับรั่วสุดขีดเสียรวมกว่า 11 สกอร์ ( 1.5 ลูก-ต่อ-นัด) การประสานของ ดาวิด ลุยซ์ กับ เคิร์ท ซูม่า ต้องปรับอีกเยอะ 

ขณะที่เกมรุกหากเจอคู่แข่งตั้งรับเหนียวแน่น ขาดความหลากหลายเมื่อบุกเข้าใส่ ครั้นเดินเครื่องเต็มกำลัง แนวป้องกันตัวเองก็รั่ว เห็นจากแมตช์พบ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ (แพ้ 0-1) 

จุดนี้เองคือสิ่งที่ 'แลมพ์ส' เผชิญแต่นอนในเกมลีก แล้วจะรับมืออย่างไร? เมื่อคู่แข่งบอลผู้ดีทั้งรับแน่นกว่า, ดุดันกว่า, โต้กลับดีกว่า และทีเด็ดเซ็ตพีซมากกว่าสโมสรแดนปลาดิบ 

รวมถึงระบบการเล่น 4-2-3-1 ที่ แลมพาร์ด ใช้งานสามารถยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ดีแค่ไหน เมื่อเจอคู่แข่งด้อยกว่า, สูสี หรือ เหนือกว่า จึงน่าสนใจว่าเกมเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด (11 ส.ค.) ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร