:::     :::

คู่หูสู่กุญแจสำคัญ "ช้างศึก"

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
2,243
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลายขวบปีที่ผ่านมา ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เริ่มมีการปรับเปลี่ยนกุนซือ จาก "ซิโก้"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาเป็น มิโลวาน ราเยวัช ซึ่งเคยพา กานา เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 เข้ามาคุม "ช้างศึก" ช่วงปี 2017-2019 โดยเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติไทยระหว่างทำศึกเอเชียน คัพ 2019

ปัญหาของขรัวเฒ่ารายนี้ หนีไม่พ้นการสื่อสาร เพราะเขาพูดภาษาเซอร์เบีย และต้องให้ล่ามแปลเป็นอังกฤษ ก่อนที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย เรียกว่าซับซ้อนกันมากมาย จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ กับเทรนเนอร์จากญี่ปุ่น นามว่า อากิระ นิชิโนะ

เขาเคยเป็นโค้ชให้กับทีมชาติญี่ปุ่น ชุดที่ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจากทวีปเอเชีย เข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 จนได้รับฉายา "ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี" เพราะซามูไร บลู ชุดนั้น ล้มบราซิลที่มี เบเบโต้, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด้, จูนินโญ เปาลิสตา และ โรนัลโด้ ด้วยสกอร์ 1-0

อากิระ นิชิโนะ ยังเป็นโค้ชคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์พากัมบะ โอซากะคว้าแชมป์ 4 รายการ คือ แชมป์เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ในปี 2008 ครองถ้วย เอ็ม เพอเรอร์ส สองสมัยในปี 2008 และ 2009 แชมป์เจลีกในปี 2005 และแชมป์เจ ลีก คัพ หรือ ลูวาน คัพ ในปัจจุบันอีกสองครั้งในปี 1999 และ 2007


แม้การเริ่มต้นของเทรนเนอร์รายนี้จะดูสวยงาม โดยเฉพาะฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ที่เปิดบ้านเอาชนะ ยูเออี 2-1 พ่วงด้วยศึก เอเอฟซี ยู 23 แชมเปี้ยนส์ชิพ 2020 ซึ่งพาทัพ “ช้างศึก” เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย สร้างประวัติศาสตร์ หน้าใหม่ ขึ้นมาได้สำเร็จ

แต่ปัญหาเดิมๆของการมีโค้ชต่างชาติก็มาถึง จากการพูดของ อากิระ นิชิโนะ จะใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว ฉะนั้นการเปลี่ยนมาใช้ล่ามคนล่าสุด ก็กลายเป็นดาบสองคม เนื่องจากความแม่นยำในวิชาลูกหนังของเจ้าตัวอาจจะน้อยไป ทำให้แปลออกมาแบบไม่ดีที่ควร

ซ้ำร้ายการสื่อสารระหว่างโค้ชกับนักเตะขาดหายไประหว่างทาง จึงเป็นอีกสาเหตุที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องแยกทาง รวมทั้งบวกกับเหตุผลในการนำนักเตะไปเล่น 3 เกมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง จำนวน 40 กว่าคน แต่แทบจะใช้ไม่ครบทุกคน

เมื่อทุกอย่างกลายเป็นศูนย์ยากาศ แต่เวลาไม่เคยรอใคร ซึ่งก็เหลืออีกราว 3 เดือนก่อนศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ จะเริ่มต้นขึ้น สมาคมกีฬาฟุจบอลแห่งประเทศไทย ได้จัดการแต่งตั้ง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย ชุดใหญ่ กับ อายุไม่เกิน 23 ปี

เขาเริ่มภารกิจแรกด้วยการหาโค้ชทีมยู-23 ก่อนที่ตกผลึกเป็น “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ กลับเข้ามา พร้อมกับให้ “โค้ชโชค”โชคทวี พรหมรัตน์ เข้ามาเป็นผู้ช่วย ก่อนจะไปคว้าตั๋วสู่รอบเอเชีย ที่ประเทศอุซเบกิสถาน ได้ในที่สุด


ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้น “มาดามแป้ง” ก็เริ่มพิจารณาหาโค้ชเข้ามาทำทีมชุดใหญ่ ซึ่งข้อแม้ก็คือ ต้องไม่มีงานทำสโมสรในเวลานี้ กระทั่งชื่อของ มาโน่ โพลกิ้ง ก็กลายมาเป็นกุนซือคนใหม่ มี จเด็จ มีลาภ และ หนึ่งฤทัย สระทองเวียน สองผู้ฝึกสอนระดับโปร ไลเซนส์ มาเป็นผู้ช่วยโค้ช

ที่สำคัญแม่ทัพบราซิล-เยอรมัน ยังดึง วสพล แก้วผลึก ล่ามที่เรียนโค้ชระดับ เอ ไลเซนส์ มาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นคู่หูที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2011 สมัยที่ วินฟรีด เชเฟอร์ เข้ามาเป็นเทรนเนอร์ “ช้างศึก” แม้ที่จริงแล้ว “โค้ชเอ็กซ์” เข้ามาก่อนในปี 2009 จากการมาเป็นล่ามให้ "ไบรอัน ร็อบสัน"


ด้วยทัศนคติที่มองในแง่บวกและให้เกียรติคู่แข่งเหมือนกัน ตลอด 4 เกมที่ผ่านมา การให้สัมภาษณ์และแปลออกมานั้น ดูสมดุลพร้อมกับไม่มีคำไหนที่จะต้องไปติเตียนทีมที่พวกเขาจะเจอ โดยจะเริ่มจากการชม แล้วตบด้วยความมั่นใจว่าจะได้ 3 คะแนน

ส่วนตอนซ้อม มาโน่ โพลกิ้ง เป็นโค้ชที่ใช้ภาษาอังกฤษยอดเยี่ยมอยู่แล้ว นักเตะส่วนใหญ่เข้าใจในสิ่งที่สื่อสาร แต่การแปลของ “โค้ชเอ็กซ์” จะมีความเสถียรในด้านฟุตบอลอย่างมาก เพราะเข้าใจแก่นแท้ของแท็คติกลูกหนัง จากการเข้ารับการอบรมโค้ช เอ ไลเซนส์ รุ่นเดียวกับ อภิเชษฐ์ พุฒตาล อดีตแบ็คขวา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 

ซึ่ง 4 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ของทีมชาติไทย พวกเขาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ทั้งตัวจริงกับสำรองสามารถทดแทนกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะนัดสุดท้ายที่เจอกับเจ้าภาพอย่าง สิงคโปร์ ทางฝั่ง “ช้างศึก” เปลี่ยน 11 คนแรกแบบยกแผง แต่ก็ยังเอาชนะไปได้ 2-0


จบเกมดังกล่าวอดีตกองกลางอาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ ได้ชื่นชมลูกทีมทุกคนที่เขาเลือกมาว่า เหมาะสมกับทีมชาติไทยจริงๆ หลังจากมีความสามารถ และทุ่มเท ทำให้ชนะทั้งสี่เกมที่ผ่านมา โดยเคยมีภาพออกมาในเพจหลักของทีมชาติไทย ที่เขาเองลงไปใส่เสื้อเอี๊ยมฝึกซ้อมกับนักเตะที่ไม่ได้ลงสนามแบบไม่แบ่งแยก 

ยิ่งกว่านั้นก็แจงเหตุผลการเลือก 11 ผู้เล่นในเกมกับเจ้าถิ่นดังนี้ “ผมเชื่อมั่นในตัวผู้เล่น ทุกคนแสดงให้ผมเห็นตั้งแต่วันแรก ที่ผมคุมซ้อม ทั้งความทุ่มเท และมีคุณภาพ ช่วยผลักดันนักเตะในชุดก่อนหน้านี้ และที่ก่อนหน้านี้หลายคนทำได้ดี ก็เพราะนักเตะ 11 ตัวจริงในชุดนี้ ด้วยความทุ่มเทแบบนี้ ทำให้พวกเขาเหมาะสมที่จะได้รับโอกาส"


นี่เป็นจิตวิทยาเล็กๆของ มาโน่ โพลกิ้ง ที่เขาพูดแบบให้เกียรตินักเตะ จนทุกคนพร้อมเล่นแบบถวายหัวให้กับทีมชาติไทย ซึ่งรอบรองชนะเลิศก็น่าสนใจกับการมาพบกับแชมป์เก่าอย่าง เวียดนาม ในวันที่ 23 ธ.ค. กับ 26 ธ.ค.นี้ ที่เล่นร่วมกันมาอย่างยาวนาน

กับทีมชาติไทยในยุคที่ระดมขุมกำลังที่ดีที่สุดในไทยลีก 2021/2022 เลกแรก ซึ่งเป็นชุดที่แข็งแกร่งทุกตำแหน่ง เพราะได้รับการไปชมฟอร์มถึงขอบสนาม เดี๋ยวจะได้รู้ว่าใครจะเป็นจ้าวอาเซียนของจริง!!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})