:::     :::

9 สถิติที่มีโอกาสถูกทำลายในฟุตบอลโลก

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
7,927
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อีกไม่กี่วันมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็จะระเบิดศึกกันแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนจับตาก็ง่ายๆ "ใครจะเป็นแชมป์"
         คำถามโลกแตกที่นอกเหนือจากทีมเต็งทั้งหลายแหล่ที่ถูกคาดหมายว่าจะคว้าแชมป์ก็อยู่ที่ว่าคุณเชียร์ทีมอะไรและอยากให้ใครก้าวไปอยู่บนจุดสูงสุด
         ในโลกฟุตบอลนอกจากความสนุกสนานจากเกมการแข่งขัน ประตูที่สวยงาม ใบแดง ใบเหลือง เทคนิคอันยอดเยี่ยม แอคชั่นต่างๆ อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเรื่องของ "สถิติ" นั่นเอง
         แน่นอนว่าส่วนใหญ่มองกันที่การคว้าแชมป์ สถิติยิงประตู การลงสนาม ซึ่งนั่นถือเป็นสถิติเบสิคที่หาข้อมูลได้ไม่ยากเท่าไรนัก
         แต่วันนี้เราจะพาไปเจาะข้อมูลเชิงลึกถึงสถิติที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แต่มีโอกาสถูกทำลายลงในศึกที่แดนหมีขาวนี้
เมสซี่-มาร์เกซ ออกล่า (สถิติ) มาราโดน่า
      
         ดีเอโก้ มาราโดน่า คือหนึ่งในนักเตะที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ด้วยขาซ้ายเพียงข้างเดียว (พร้อมกับหัตถ์แห่งพระเจ้า) เขาพา อาร์เจนติน่า ผงาดคว้าแชมป์โลกอย่างยิ่งใหญ่เมื่อปี 1986
         นี่คือนักเตะที่ใครทุกคนพร้อมที่จะคารวะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในฐานะคนดูบอลต้องยกให้เข้าเป็นสุดยอดแข้งไม่ว่าจะชอบหรือจะเกลียดก็ตาม
         "เสือเตี้ย" ครองสถิติเป็นนักเตะที่สวมปลอกแขนกัปตันเดินนำลูกทีมลงสนามมากที่สุดในฟุตบอลโลก 16 เกม พร้อมกับยิงประตูไป 6 ลูกในรอบสุดท้ายของเวิลด์ คัพ
         แต่สถิตินี้กำลังถูกไล่ล่าโดย ลิโอเนล เมสซี่ ในฐานะกัปตันทีชาติอาร์เจนติน่า ที่ปัจจุบันกับการสวมปลอกแขนและยิงในรอบสุดท้ายไปแล้ว 4 ลูกในฟุตบอลโลก 2014 แน่นอนว่ามีโอกาสที่จะแซงได้ไม่ยาก
         เช่นเดียวกับกับ ราฟาเอล มาร์เกซ ที่ก่อนหน้านี้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติเม็กซิโกนำลูกทีมบู๊ในฟุตบอลโลกมาแล้ว 14 เกม ขาดอีกเพียงแค่สองนัดเท่านั้น นับแค่รอบแบ่งกลุ่มหากได้เดินนำหน้าลูกทีมครบทั้งสามแม็ตช์ก็ทำลายสถิติของโครตแข้งอย่าง มาราโดน่า ได้แล้ว
การปะทะกันของสองกุนซือจอมเก๋า
      
         134 ปี กับอีก 2 เดือน คือจำนวนอายุรวมกันของ ออสการ์ ตาบาเรซ กุนซือทีมชาติอุรุกวัยกับ รอย ฮ็อดจ์สัน เทรนเนอร์ทีมชาติอังกฤษที่คุมทีมลงสนามเจอกันเมื่อฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งถือเป็นอายุรวมที่มากที่สุดของผู้จัดการทีมในศึกเวิลด์ คัพที่ต้องมาฟาดฟันกันเอง
         เอาง่ายๆถ้าหารกันครึ่งๆก็ตีไปคนละ 67 ขวบกับอีกหนึ่งเดือน (เอง) ซึ่งถ้าถามว่าด้วยอายุปูนนี้แล้วในบ้านเราก็คงนอนดูทีวีอยู่บ้าน หรือไม่ก็บ้างคนมีอายุไม่ถึงวันนั้นด้วยซ้ำ
         สถิติจากบอลโลกที่บราซิลซึ่งทำลายสถิติเดิมจากเวิลด์ คัพฉบับแอฟริกาใต้ที่ อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล เทรนเนอร์กรีซ กับ ลาร์ส ลาเกอร์บัค ที่คุมไนจีเรีย ทำเอาไว้ที่ 133 ปีกับอีก 9 เดือนลงได้แบบหวุดหวิดเหมือนกัน
         แต่ในฟุตบอลโลกหนนี้ที่รัสเซียก็มีโอกาสที่สถิตินี้จะโดนทำลายลงอีกครั้ง โดยอุรุกวัยที่อยู่ในกลุ่มเอที่ยังอยู่ภายใต้การคุมทีมของ ตาบาเรซ เจ้าเก่ามีโอกาสที่จะปะทะกับ โปรตุเกส ที่มี แฟร์นานโด ซานโต๊ส คุมทีมอยู่
         คนแรก 71 ขวบนิดๆ กับคนหลังที่ 63 กว่าๆ บวกกันแล้วตัวเลขจะอยู่ที่ 135 ปีกับอีก 3 เดือน ซึ่งทำลายสถิติเดิมเกินขวบปีเลยทีเดียว
         ท่วาอาจจะต้องลุ้นหนักหน่อยเพราะต้องหวังให้ทั้งสองทีมเจอกันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งนั่นหมายความว่า อุรุกวัย ต้องจบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม และ โปรตุเกส จบด้วยการเป็นอันดับสอง หรือไม่ก็สลับกันให้ อุรุกวัย เป็นอันดับสอง และ โปรตุเกส เป็นแชมป์กลุ่ม สองเงื่อนไขนี้เท่านั้สถิตินี้ถึงมีโฮกาสโดนทำลาย
ยิงประตูทะลุเป้า
      
         สถิติที่แฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดนอกเหนือจากการเป็นแชมป์โลกก็คือ ใครจะยิงประตูได้เยอะที่สุด
         เปล่, โรนัลโด้ หรือ แกร์ด มุลเลอร์ คือยอดดาวยิงในตำนานแห่งฟุตบอลโลก หรือจะเป็น มิโรสลาฟ โคลเซ่ กับสถิติยิงประตูในรอบสุดท้ายมากที่สุดด้วยจำนวน 16 ประตู
         แน่นอนว่านั่นเป็นสถิติที่น่าสนใจ แต่สำหรับ โธสัม มุลเลอร์ นั้นมีอะไรที่ยากกว่านั้นกับการยิงให้ได้ในรอบสุดท้ายแตะถึงหลัก 5 ลูกติดต่อกัน
         ที่ผ่านมา เตโอฟิโล่ กูบีลาส ดาวเตะของเปรูกด 5 ลูกในฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกปี 1970 และมาซัดอีก 5 ประตูในอีกสี่ปีให้หลังที่ อาร์เจนติน่า ทว่าในปี 1982 ที่สเปนเข้าไม่อาจทำประตูได้
         แต่กับสตาร์จาก บาเยิร์น มิวนิค ที่กด 5 ลูกมาในฟุตบอลโลกสองครั้งหลังทั้งที่แอฟริกาใต้ และ บราซิล ซึ่งหากเขาทำได้อีกครั้งที่ รัสเซีย จะกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 5 ประตูในรอบสุดท้าย 3 ครั้งเลย
ชนะติดต่อกันมากที่สุด
      
          การเก็บชัยชนะติดต่อกันอย่างยาวนานในฟุตบอลโลก นั่นหมายถึงว่านั่นคงทำให้ทีมที่ทำสถิตินี้คงไปถึงตำแหน่งแชมป์อย่างแน่นอน
        กับ เยอรมัน ทีมแชมป์เก่าที่มุ่งมั่นกับการป้องกันแชมป์ให้ได้ ซึ่งพวกเขาเก็บชัยชนะในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกมาแล้ว 5 เกมติดต่อกัน (รวมต่อเวลาและยิงจุดโทษ)
         ซึ่งที่ผ่านมานั้นมีเพียงแค่สองทีมที่เก็บชัยชนะได้มากกว่า 6 เกมในรอบสุดท้ายก็คือ อิตาลี ที่ชนะ 7 เกมติด ในฟุตบอลโลก 1934 ต่อ 1938 และ บราซิล ที่ลากยาวคว้าชัยติดต่อกันถึง 11 เกม ในบอลโลก 2002 ที่คว้าแชมป์และปี 2006 
         คิดเล่นๆว่าหากทัพอินทรีเหล็กหวังจะทำลายสถิติของทีมแซมบ้าก็ต้องชนะให้ได้ 7 เกมรวด ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะทำลายสถิติและคว้าแชมป์ในเกมเดียวกันพอดี
มากกว่านี้ก็พี่นี่แหละ
      
         อีกหนึ่งสถิติที่ถือว่าน่าสนใจและมีคนติดตามเช่นกันก็คือเรื่องของอายุผู้เล่น ว่าใครคือนักเตะอายุมากที่สุดที่ลงสนามในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก
         คงเดาได้ไม่ยากว่ายังไงสถิตินี้ก็คงเป็นของผู้เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู ใช่ครับ คนนั้นคือ ฟาริด มอนดราก้อน นายทวารชื่อดังทีมชาติโคลอมเบียเมื่อครั้งฟุตบอลโลก 2014
         มือกาวตัวเก๋าลงเฝ้าเสาในเกมกับ ญี่ปุ่น ในศึกที่บราซิลในวัย 43 ปี 3 วัน ทำลายสถิติเดิมจาก โรเจอร์ มิลล่า ของแคเมอรูนลงได้ แต่ทว่าสถิตินี้ของเขาอาจจะอยู่คนฟุตบอลโลกเพียงหนเดียวเท่านั้น
         และคนที่พร้อมจะทำลายสถิตินี้มีชื่อว่า เอสซาม เอล-ฮาดารี่ นายทวารทีมชาติอียิปต์ที่ปัจจุบันอายุล่วงเลยถึง 45 ปีกับ 5 เดือน และนี่คือฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขา! ซึ่งคงไม่พลาดลงสนามแน่ๆล่ะ
         ถามว่าแก่แค่ไหนกับคนอายุเท่านั้น ก็มากกว่าบรรดากุนซือที่คุมทีมในรอบสุดท้ายอย่าง อาลิอู ซิสเซ่ เทรนเนอร์เซนัลกัลที่อายุ 42 ปี, มลาเดน เคอร์สตายิช นายใหญ่เซอร์เบียร์ที่อายุ 44 ปี รวมถึง โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ ผู้จัดการทีมชาติเบลเยี่ยมที่อายุ 44 ปีละกัน
คอสตาริก้า มาได้ไง
      
         6 เกม คือสถิติที่ทีมจากคอนคาเคฟไม่แพ้ใครในฟุตบอลโลกยาวนานที่สุด และสถิตินั้นเป็นของทีมชาติเม็กซิโกย้อนกลับไปเมื่อปี 1994 ที่สหรัฐฯต่อด้วยปี 1998 ที่ฝรั่งเศส
         ปัจจุบันสถิตินี้กำลังถูกท้าทายโดยทีมชาติคอสตาริก้าที่ตอนนี้ไม่แพ้ใครมาแล้ว 5 เกมติดต่อกัน ย้อนกลับไปเมื่อฟุตบอลโลก 2014 ทั้งที่พวกเขาอยู่ในกลุ่มสุดหินที่มีทั้ง อังกฤษ, อุรุกวัย และ อิตาลี ที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือพวกเขากล้าๆผงาดเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม แถมทีมที่ตกรอบยังเป็นทัพสิงโตคำรามกับอัซซูรี่ที่เป็นสองตัวเต็งที่จะเข้ารอบของกลุ่ม
         ทีม "กล้วยหอม" ยังยันเสมอ กรีซ ในรอบ 16 ทีมก่อนดวลเป้าชนะมาได้และเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิซซึ่งก็ยันเสมอ ฮอลแลนด์ มาได้ 0-0 แต่ไปพ่ายในการดวลจุดโทษ 3-4
         ครั้งนี้กับการอยู่รวมกลุ่มเดียวกับ บราซิล, สวิตเซอร์แลนด์ และ เซอร์เบีย ก็ต้องตามลุ้นกันว่าจะสามารถทำลายสถิติเดิมของทัพจังโก้ได้หรือไม่
4-3-3
      
         ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกที่ผ่านมามีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่ยิงประตูในรอบสุดท้ายได้ถึง 4 ครั้ง นั่นก็คือ อูเว่ ซีเลอร์, เปเล่ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่
         และสำหรับคนที่ยิงประตูในรอบสุดท้ายได้ 3 หนและเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายที่รัสเซียมีอยู่ 3 คนก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงกัปตันทีมชาติโปรตุเกส, ทิม เคฮิลล์ กองหน้าตัวเก๋าทีชาติออสเตรเลีย และ ราฟาเอล มาร์เกซ กองหลังมากประสบการณ์ทีมชาติเม็กซิโก
         ทั้งสามคนมีโอกาสที่จะยิงประตูได้ในการเล่นฟุตบอลโลกเป็นที่ 4 ขึ้นไปทาบสถิติกับเหล่าบรรดาตำนานทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น
กุนซือผู้นำทัพ
      
         อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะพาทีมไปถึงจุดสูงสุดของฟุตบอลโลกก็คือผู้เป็นกุนซือนั่นเอง ยิงเก็บชัยชนะได้มาก นั่นก็หมายถึงโอกาสในการประสบความสำเร็จก็มากตามไปด้วยกัน
         สถิติสำหรับผู้จัดการทีมที่พาทีมเก็บชัยชนะในรอบสุดท้ายของเวิลด์ คัพมากที่สุดเป็นของ เฮลมุต โชน อดีตนายใหญ่ของเยอรมันตะวันตกที่คุมทัพยาวนาน 14 ปี พาทัพอินรทรีผงาดคว้าแชมป์โลกปี 1974 คว้ารองแชมป์ในปี 1966 และอันดับ 3 ในปี 1970 
         เทรนเนอร์ที่ปัจจุบันอายุ 80 ปีเก็บชัยชนะในรอบสุดท้ายไปทั้งสิ้น 16 เกม ซึ่งเป็นสถิติที่สูงทีเดียว แต่ก็มีคนที่มีโอกาสที่ทำทำลายสถิตินี้ได้ก็คือ โยอาคิม เลิฟ นายใหญ่ของเยอรมันนั่นเอง
         ปัจจุบัน เลิฟ พาทีมคว้าชัยในรอบสุดท้ายมาแล้ว 11 เกม โดยแบ่งเป็นในปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ 5 เกม และปี 2014 ที่บราซิลอีก 6 เกม ซึ่งอีกแค่ 5 นัดคงไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำลายสถิตินี้ลงได้
ดาวยิงลูกระเบิด
      
         "ดาวยิงลูกระเบิด" เมื่อเอ่ยถึงฉายานี้แน่นอนว่าต้องนึกถึง แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานกองหน้าทีมชาติเยอรมันอย่างแน่นอน
         สุดยอดดาวยิงมาพร้อมกับสถิติในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกที่ยอดเยี่ยมกดไป 14 ลูกจาก 13 เกม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.08 ลูกต่อเกมถือว่ามากที่สุด (นับเฉพาะคนที่ลงเล่นมากกว่า 7 นัด)
         แต่สถิตินี้ก็มีคนที่พร้อมจะทำลายอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ สตาร์จากทีมชาติโคลอมเบียที่ฟุตบอลครั้งแรกเมื่อปี 2014 ก็เฉิดฉายอย่างยอดเยี่ยมด้วยการซัด 6 ประตูจาก 5 เกม คว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง
         และเมื่อดูเพื่อนร่วมอย่างอย่าง เซเนกัล, ญี่ปุ่น และ โปแลนด์ ซึ่งทั้งหมดมีโอกาสที่จะโดนดาวเตะรายนี้สอยประตูเป็นอย่างยิ่ง
         กับค่าเฉลี่ยปัจจุบันที่ 1.20 ประตูต่อเกม หากจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มพร้อมกับทำประตูได้ สถิตินี้ก็คงโดนทำลายไม่ยาก


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด